fbpx
ทดลองขับ All-new Toyota Corolla Altis hybrid

All-new Toyota Corolla Altis hybrid ขับจริงเน้นใช้งาน จะประหยัดน้ำมันแค่ไหน ต้องลอง!!

สวัสดีครับเพื่อนๆชาว Carvariety และแฟนเพจ ฅ.คนรักรถ ทุกคน ห่างหายกันไปนาน คิดถึงกันบ้างไหมเอ่ย กับบทความในรูปแบบรีวิว TestDrive ของเรา กลับมาครั้งนี้บอกเลยว่า เป็นรถที่เชื่อว่าหลายๆคนหรือทุกคนต้องเคยเห็นหรือคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีและต้องเคยสัมผัสกันมาบ้างแล้ว ( แค่มี 35 บาทก็นั่งได้แล้วจ้า..ไปคิดต่อเอาเนอะ อิอิ )นั้นก็คือเจ้า All-new Toyota Corolla Altis  ที่พึ่งเปิดตัวกันไปไม่นาน แต่!!! รุ่นที่เราได้ทดสอบกันในทริปนี้เรียกได้ว่าเป็นรุ่น Top สุด เพดานสูงสุด ของเจ้าอัลติสใหม่ นั้นก็คือรุ่น  Hybrid High นั้นเอง ฉะนั้นอย่ารอช้า อาบน้ำ เก็บกระเป๋า ออกเดินทางไปเจอกับตัวเป็นๆของเจ้า All-new Toyota Corolla Altis hybrid high ที่สนามทดสอบรถ Toyota Driving Experience Park กันเลย….

ภายนอก

ก่อนที่จะไปทดลองขับกันนั้นเรามาดูภายนอกของเจ้า All-new Toyota Corolla Altis hybrid กันหน่อยว่ามีอะไรโดดเด่นและน่าสนใจกันบ้าง โดยเริ่มจากรูปลักษณ์ภายนอก ได้รับการออกแบบ ภายใต้แนวคิด “Shooting Robust” มองเผินๆก็ดูคล้ายๆกับรุ่นพี่อย่าง Toyota Camry เลยทีเดียว ที่มาพร้อมกับเจเนอร์เรชั่นโครงสร้างตัวถังใหม่ TNGA  เช่นเดียวกับ Toyota Camry และ Toyota C-HR ดีไซน์ภายนอกของ All-new Toyota Corolla Altis hybrid โดดเด่นด้วยเส้นสายหนักแน่นเด่นชัดรอบคัน  แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรง ทันสมัย ดูไฮโซกว่า  รุ่นก่อนหน้านี้  ไฟหน้าเป็นแบบ LED Projector สามารถเปิดและปิดได้อัตโนมัติ พร้อมไฟส่องสว่างในช่วงกลางวันแบบ LED  Daytime Running Lights ไฟท้ายแบบ LED Rear Lamps  ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว โดยใช้ยางขนาด 225/45/r17 ของ MICHELIN สะดวกสบายด้วยการปลอดล็อกประตูด้วยระบบอัจฉริยะ Smart Key

มินิภายนอก  ยาว x กว้าง x สูง : 4,630 x 1,780 x 1,435 มิลลิเมตร

ความยาวช่วงล่อ : 2,700 มิลลิเมตร

ความกว้างช่วงล้อ : หน้า/หลัง 1531/1535 มิลลิเมตร

ระยะต่ำสุดจากพื้น :155 มิลลิเมตร

ความจุถังน้ำมัน : 43 ลิตร

รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด :  5.4 เมตร

ภายใน

ภายในของ All-new Toyota Corolla Altis  รุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด 1.8 Hybrid High นั้นภายในพัฒนาภายใต้แนวคิด “Clean & Wide” เน้นการตกแต่งในโทนสีดำตัดสีเงิน ได้รับการออกแบบให้ดูเรียบหรูและดูคลีน เริ่มจาก Head Up Display หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบสี บนกระจกหน้ารถโดยสามารถมองได้แบบแทบไม่ต้องละสายตา  ง่ายยิ่งกว่าด้วยปุ่มระบบสตาร์ทอัจฉริยะแบบ  Push Start มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีขนาด 7 นิ้ว  หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วรองรับ Apple CarPlay พร้อมระบบนำทาง Navigator รองรับ T-CONNECT ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสารสร้างโมเลกุลน้ำล้อมรอบประจุลบเพื่อขจัดกลิ่นและยับยั้งเชื้อโรค อันนี้ถือว่าดีเลย  มีแท่นชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless Charger มาให้..อันนี้เหมาะกับใครที่มีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ทันสมัยที่รองรับ Wireless Charger คงชอบ  Option นี้แน่ๆเลย

ส่วนตัวผมโทรศัพท์มือยังไม่รองรับ Wireless Charger  จึงไปมองหาช่องชาร์จแบบ USB ปรากฏว่ามีแค่ 2 เอง ช่องนึงอยู่ตรงคอนโซนหน้าไว้เสียบ แฟลชไดร์ฟ ฟังเพลง อีกช่องอยู่ในช่องเก็บของตรงกลาง ไฟปล่อยกระแสไฟที่ 2.1 แอมป์ ใกล้ๆกันมีรู Power Outlet 12v/120w  มาให้ เลยลองเอื่อมมือไปตรงแอร์แถวหลังเพื่อจะดูว่ามีช่องชาร์จไฟแบบ Usb เพิ่มไหม คลำๆดูไม่มีจ้า สรุปแล้วมี 2 ช่องเอง ถ้าเสียบ แฟลชไดร์ฟ ฟังเพลงไปด้วย เท่ากับว่าเหลือช่องชาร์จไฟที่เป็น USB 1 ช่องเอง ผมว่ามันน้อยไปหน่อยนะสำหรับรถระดับนี้ ในรุ่นก่อนหน้านี้ตรงแอร์หลังยังมีช่องชาร์ท Usb มาให้อีกตั้งสองช่องแหนะ ผ่านเรื่องนี้ไปไปต่อกันที่ กระจกมองข้างพับเก็บอัตโนมัติ  กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ  เบรกมือเป็นแบบ Electric Parking Brake เบรกมือไฟฟ้า มี Auto Brake Hold ระบบหน่วงแรงเบรกอัตโนมัติ  มีม่านบังแดดที่กระจกหลังมาให้ และที่สำคัญสำหรับคอกาแฟมีช่องวางแก้วนำมาให้ทั้งผู้โดยด้านหน้าและตอนหลังเลยนะครับหมดห่วงสบาย…

การขับขี่

ในส่วนของการขับขี่นั้นแบ่งออกเป็นสองพาส คือพาสขับทดสอบในสนาม Toyota Driving Experience Park  และ แบบออนโรดขับใช้งานจริงบนถนน  ก่อนจะขึ้นรถไปทดสอบกันเรามาดูเครื่องยนต์และระบบความปลอดภัยของเจ้า All-new Toyota Corolla Altis  1.8 Hybrid High กันก่อน มาพร้อมกับเครื่องยนต์รหัส 2ZR-FXE บล็อก 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ความจุ 1.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 98 แรงม้าที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตรที่ 3,600 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าชนิดมอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร กำลังสูงสุด 53 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 163 นิวตันเมตร เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุดที่ 122 แรงม้า ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ E-CVT  ในส่วนของช่วงล่างมีการปรับเปลี่ยน ด้านหน้า เป็น อิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังจากเดิมใช้เป็น Torsion beam  ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็น Double Wishbones หรือช่วงล่างอิสระแบบปีกนกคู่ 

ด้านความปลอดภัยบอกเลยว่าทางโตโยต้าให้มาอย่างจัดเต็ม เริ่มจาก เบรก ABS ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบกระจายแรงเบรก EBD ถุงลมเสริมความปลอดภัยทั้งคู่หน้า / ด้านข้าง / ม่านด้านข้าง / หัวเข่าด้านคนขับ รวมทั้งหมด 7 ตำแหน่ง ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAC  ระบบอิเลคโทรนิคเสริมความปลอดภัยประกอบด้วยระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA ระบบแจ้งเตือนลมยาง TPMS ระบบควบคุมและปรับลดความเร็ว อัตโนมัติ DRCC แบบ All-speed Range ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ AHB ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน LTA  ก่อนจะไปขับกันจริงๆแล้วขออีกนิดนึงเราไปดูการทำงานของระบบไฮบริดเจเนเรชันที่ 4 กันหน่อยว่าทำงานเป็นยังไงบ้างโดยสามารถแบ่งได้เป็น 5 การทำงาน

ขณะออกตัว

  • ระบบ FULL HYBRID ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว โดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ไฮบิรด

ขณะขับขี่ปกติด้วยความเร็วคงที่

  • เครื่องยนต์แบะมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันอย่างเหมาะสมเพื่อประหยัดเชื้อเพลิงมากที่สุด
  • พลังงานส่วนเกินถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ส่งไปเก็บสะสมในแบตเตอรี่ไฮบริด

ขณะเร่งความเร็ว

  • เครื่องยนต์ละระบบ FULL HYBRID พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัว ผสานการทำงานร่วมกันอย่างเต็มพลัง
  • แบตเตอรี่ส่งพลังงานไฟฟ้าเสริมเต็มกำลัง เพื่ออัตราเร่งสูงสุด

ขณะลดความเร็วและเบรก

  • เครื่องยนต์หยุดทำงาน
  • มอเตอร์ไฟฟ้าจะแปลงพลังงานจากการเคลื่อนที่เป็นพลังงานไฟฟ้าส่งไปเก็บสะสมในแบตเตอรี่ไฮบริด

ขณะจอด

  • เครื่องยนต์หยุดการทำงาน
  • ระบบ FULL HYBRID ช่วยให้ระบบปรับอากาศทำงานปกติโดยใช้พลังงานแบตเตอรี่ฮบริดเพียงอย่างเดียว
  • เมื่อแตะเบรกเพื่อจอดมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยประคองให้รถหยุดอย่างนุ่มนวล

เมื่อเราได้ทราบการทำงานความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่กันไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาทดลองขับกันซักที ในพาสของการขับขี่ในสนามผมอาจจะขอไปไวหน่อยนะผมจะเน้นเรื่อง Handling และ ระบบช่วงล่างละกันนะครับ เริ่มจากขึ้นรถปรับท่านั่งการขับขี่ให้เหมาะสมปกติผมจะใช้เวลาซักพักนึงว่าจะปรับตำแหน่งให้ลงตัว แต่รอบนี้รวจเร็วดั้งใจครับ เพราะ เบาะฝั่งคนขับเป็นปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้า พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง สูง – ต่ำ ใกล้ -ใกล ทำให้ปรับท่านั่งได้ไวเลยทีเดียว แต่ไม่มีปุ่ม Memory จดจำตำแหน่งเบาะนะครับ  ในการทดสอบในสนามมีอยู่หลากหลาย Station ไม่ว่าจะเป็น การเบรกแบบ Emergency Braking บนถนนที่เปลียกและลื่นไถล Station สลาลม (Slalom) เพื่อทดสอบการทรงตัวของรถ ต่อการเปลี่ยนเลนแบบกระทันหัน (LaneChange) เพื่อทดสอบการตอบสนองมาพวงมาลัยรวมไปถึงระบบช่วงล่าง  ทดสอบอัตราเร่งรวมไปถึงการเข้าโค้ง การขับบนพื้นที่จำลองสภาพพื้นผิวถนน ที่เป็นหลุม บ่อ ลูกคลื่น คอสะพาน เพื่อใช้ทดสอบการเก็บเสียงในห้องโดยสาร ความสั่นสะเทือน การควบคุมรถยนต์ และความนุ่มนวลในการขับขี่

สิ่งแรกที่ผมชอบเลยจากการทดสอบคือ พวงมาลัยคมน้ำหนักกำลังดี แม่นยำ สั่งได้ดั่งใจ ช่วงล่างดีครับ ไม่ย้วย มีความกระชับ อาจเป็นเพราะเปลี่ยนมาใช้ช่วงล่างแบบ Double Wishbones แทน Torsion beam  ตอน LaneChange เปลี่ยนเลนกะทันหันก็ต้องชื่นชมความแม่นยำของพวงมาลัยไฟฟ้า EPS (Eletric Power  Steering )เค้าแม่นทำให้เลี้ยวได้ง่าย ผสานเข้ากับเทคโนโลยี TNGA อาการโคลงตัวค่อนข้างน้อย ช่วยให้เราควบคุมรถได้ง่ายขึ้น และอีกหนึ่งระบบที่หน้าสนใจคือ Dynamic Radar Cruise Control แบบ Full-Speed range สามารถปรับลดความเร็วจนถึงจุด หยุดนิ่งตามรถยนต์คันหน้าเรดาห์ของรถค่อนข้างจะทำงานได้แม่นยำ ไม่ใช่แค่เพียงการวิ่งตาม หรือหยุดนิ่ง หากมีรถเข้าแทรกตัดหน้า เรดาห์จะยังทำงานด้วยการจับคันใหม่ทันที ยังรวมไปถึงการควบคุมพวงมาลัยให้วิ่งตามรถคันหน้าได้อีกด้วยอันนี้ถือว่าเจ๋ง การทำงานคล้ายๆกับระบบ ระบบ Eyesight ของ Subaru Forester นับเป็นเทคโนโลยีที่ถูกจับยัดเข้ามาเพิ่มอยู่ในกลุ่มของ Toyota Safety Sense รวมถึงระบบ Lane Tracing Assist ที่ช่วยประคองรถยนต์ให้วิ่งอยู่ในเลนได้เอง

มาถึงกับขับขี่แบบออนโรดกันแล้ว เริ่มสตาร์ทกันที่ Toyota Driving Experience Park บางนา กม.3 มุ่งหน้าสู่ เมืองพัทยา ระยะทางกว่า 270 กิโล เราทำการเช็ต 0 ทุกอย่างก่อนออกเดินทางเพื่อจะลองดูว่าอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงจะอยู่ที่เท่าไหร่โดยทางโรงงานเค้าเคลมไว้ว่าประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3  กม/ลิตร เราจะมาลองดูกันนะครับว่าเราจะขับได้เท่าไหร่กันโดยขับแบบใช้งานปกติไม่ปั้นตัวเลข เน้นใช้งานจริงขับครบทุกโหมดการขับขี่ ลุย!!  เจ้า Altis Hybrid วิศัยทัศย์การขับขี่ดีครับ ตรงเสา A มีกระจกบานเล็กๆเพื่อลดมุมอับสายตา กระจกมองหลังตัดแสงสะท้อนอัตโนมัติ การเปลี่ยนเลนมั่นใจยิ่งขึ้นครับ เพราะมี Bling Spot Moniter ช่วยลดจุดอับสายตาโดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่ชอบขับมาตีคู่ข้างๆ เบาะนั่งแบบกึ่งๆ Bucket Seat โอบสรีระไว้เวลาเข้าโค้งไม่ให้ตัวโยนภาพรวมถือว่าโอเคเลย

มาต่อในเรื่องเครื่องยนต์ เกียร์และช่วงล่างกันบ้าง เครื่องยนต์เป็น 2ZR-FXE สี่สูบ 1800 cc เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุดที่ 122 แรงม้า บอกเลยอัตรา เร่งดีมั่นใจตั่งแต่ออกตัว ยันความเร็วปลาย พร้อมมีปุ่มโหมด DRIVE MODE มาให้อยู่เหนือคันเกียร์เพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่โดยมีมาให้เลือก 3 โหมด ECO , NORMAL และ POWER MOAD โดยแต่ละโหมดจะมีการ ตอบสนองของคันเร่งต่างกัน แต่สำหรับผมแค่โหมด ECO ก็เหลือๆแล้วครับ ในส่วนของเกียร์เป็น E – CVT ไม่มี  Sequential Shift หรือ + – มาให้เนื่องจากทางวิศวะกรเค้าต้องการความนุ่มนวลในการขับขี่บวกกับการประหยัดน้ำมันเวลาเร่งแซงก็ใช้ kickdown แทน ตอบสนองไวครับรอรอบไม่นาน ปรู๊ด ป๊าด เลย ส่วน Sequential Shift จะมีอยู่ในรุ่น GR SRORT และ 1.6 G สำหรับสายสปอร์ตต้องไปมองตัวสองนี้เลยครับ..ในส่วนของช่วงล่างรถคันที่เราทดสอบนั่งอยู่สามคน ผมรู้สึกว่ามันนุ่มดีนะ แต่ไม่ได้ย้วย ไม่กระด้าง ช่วงล่างถูกปรับเช็ตให้มาเพื่อตอบสนองกับการขับขี่ที่แบบฟิวครอบครัว พ่อ แม่ ลูก เดินทางไปต่างจังหวัดกินอิ่มนอนหลับได้ภายในรถ ไม่ตอบโจทย์กับขับแนวฮาร์ดคอร์ซักเท่าไหร่ ถ้าอยากแนวมันๆโช็คอัพแน่นๆแนะนำไปตัว GR SROR น่าจะตอบโจทย์มากกว่า ในส่วนของพวงมาลัยบอกเลยว่าชอบมาก ในความเร็วต่ำน้ำหนักจะเบาพอความเร็วสูงก็จะหน่วงน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นแต่ยังคมเหมือนเดิม ความเร็วของ Altis Hybrid จะถูกล็อกไว้ที่ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนะครับ

อีกอย่างที่เจ้า Altis Hybrid ทำออกมาได้ดีคือเรื่องของเสียงรบกวนจากภายนอกค่อนข้างมีน้อยครับ จากนั้นถึงจุดแวะพักสลับคนขับผมได้มีโอกาศไปนั่งเบาะหลังนั่งสบายครับมีที่พักแขนมาให้พร้อมช่องวางแก้วน้ำ แต่…ต้องบอกเลยนะครับว่าถ้าคนที่มีความสูง 175 ขึ้นไป นั่งพิงหลังลำตัวตั้งตรง Headroom จะเหลือน้อยมากแทบชนหลังคาเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเค้าได้มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ภายนอกใหม่ทำให้ตรงเสา C ดูลาดยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มความเป็นสปอร์ต สำหรับผู้โดยสารที่ตัวสูงอาจจะเหนื่อยหน่อยนะจุดนี้ 3 ถ้านั่งสามคนแถวหลังผู้โดยสารคนกลางอาจจะต้องว่าเท้าลำบากหน่อยนะครับเพราะพื้นไม่ได้เป็นแบบ Flat จะถึงอุโมงค์สายไฟตรงกลางเพราะใต้ที่นั่งของเรามีแบตเตอรี่อยู่นะครับ เอ๋อ เกือบลืมบอก เบาะหลังพับได้แบบ 60 : 40 นะครับ มาว่ากันในเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองกันครับรถคันที่ผมขับทดสอบในทริปนี้ เน้น!! เลยนะครับ ขับใช้งานจริงไม่ปั้น ใช้ความเร็วประมาณ 120 เกือบตลอดทาง เหยียบหนักเป็นช่วงๆ kickdown เป็นบางจังหวะทำอัตราสิ้นเปลืองออกมาได้ที่ 19.4 กิโลเมตรต่อลิตร บอกเลยว่า ว๊าว!มาก ถือว่าประหยัดมากครับ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าตั่งใจปั้นตัวเลขนี้ เกิน 20 กิโลเมตรต่อลิตร แน่ๆการันตรีเลย (อย่าเผลอไปเติมน้ำมัน E85 นะ ครับ เพราะรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริดจะรองรับน้ำมันได้ถึง E20 เท่านั้น ต้องเป็นรุ่นเครื่องยนต์เบนซินนะครับที่สามารถรองรับน้ำมัน E85 ได้ )

สรุปนะครับเจ้า All New Toyota Corolla Altis 1.8 Hybrid High การขับขี่ดีครับนุ่มนวลตามสไตล์รถ Hybrid High พวงมาลัยคม ที่สำคัญประหยัดน้ำมัน และสำหรับผู้โดยสารที่ตัวสูงหน่อยนั่งข้างหลังอาจจะมีปัญหาเรื่องของ Headroomบ้าง และใครที่กังวลใจในเรื่องแบตเตอร์ไฮบริด เค้ารับประกันให้ 10 ปีนะครับ และส่วนของระบบไฮบริดเค้ารับประกันให้ 5 ปี เรียกได้ว่าขับใช้งานกันไปเลยยาวๆ

สำหรับราคาผมจะสรุปให้หมดทุกรุ่นเลยนะครับเริ่มตั้งแต่

รุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด 

  • Hybrid High เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,099,000 บาท***
  • Hybrid Mid เกียร์อัตโนมัติ ราคา 989,000 บาท***
  • Hybrid Entry เกียร์อัตโนมัติ ราคา 939,000 บาท***

(*สำหรับสีพิเศษ White Pearl มีเฉพาะรุ่น Hybrid และเครื่องยนต์ 1.8 GR-Sport เพิ่ม 10,000 บาท)

รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 

  • 8 GR-Sport** เกียร์อัตโนมัติ ราคา 999,000 บาท***
  • 6G เกียร์อัตโนมัติ ราคา 869,000 บาท***
  • Limo เกียร์อัตโนมัติ ราคา 829,000 บาท***

(**มี 3 สี White Pearl, Red Mica Metallic, Attitude Black Mica) 

***ราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน รวมราคาชุดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ***

ยังไงแล้วชอบรุ่นไหนก็ไปทดลองขับกันที่โชว์รูมใกล้บ้านท่านได้เลยนะครับ

บทความที่น่าสนใจ

ลองขับ ฮอนด้า เอชอาร์-วี ใหม่ (2018) ปลอดภัยเพิ่ม สบายเหมือนเดิม

idiot

ทดลองขับ New Mitsubishi Xpander หล่อขึ้น เกียร์ใหม่ ช่วงล่างแน่น เทคโนโลยีมีให้แค่พอเพียง!

Peng

ลอง EMG 6 ปลั๊ก-อิน ไฮบริด 228 แรงม้า สุดยอดเทคโนโลยีของ MG

idiot

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy