fbpx

เปิดตัวในไทย Mclaren 750s Coupé ซูเปอร์คาร์ตัวโหด เบาสุดและทรงพลังระดับ 750 แรงม้า

แมคลาเรน แบงคอก จัดงานเฉลิมฉลองแบรนด์ครบรอบ 60 ปี เปิดตัว Mclaren 750s Coupé ซูเปอร์คาร์รุ่นที่เบาที่สุดและทรงพลังที่สุดในบรรดารถจากสายการผลิตทั้งหมดของ Mclaren พร้อมอวดโฉม McLaren Speedtail ไฮเปอร์คาร์ที่มีผลิตเพียงแค่ 106 คันในโลกและมีเพียง 1 คันในประเทศไทยมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท

Mclaren 750s ก่อกำเนิดจากการวิเคราะห์รุ่น 720S อย่างพิถีพิถัน จากนั้นจึงยกระดับชิ้นส่วนกว่า 30% ทั้งยกเครื่องใหม่และปรับแต่งใหม่ให้ล้ำหน้ายิ่งขึ้น ทำให้ทรงพลัง เบา ปราดเปรียวยิ่งขึ้น แรงกดเพิ่มมากขึ้น ด้วยสัดส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักรถอยู่ที่ 587 แรงม้าต่อตัน ทำให้ 750S เหนือกว่าคู่แข่งถึง 22 แรงม้า (เมื่อเทียบน้ำหนักรถเปล่าของรุ่นคูเป้)

ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ V8 4 ลิตร Twin-Turbocharged ให้กำลังสูงสุด 750 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร ระบบขับเคลื่อนล้อหลังใหม่ สอดประสานกันกับชุดเกียร์ 7 สปีดเอื้อให้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 2.8 วินาที และเร่งความเร็วจาก 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.2 วินาที สำหรับรุ่นคูเป้ และ 7.3 วินาที สำหรับรุ่นสไปเดอร์

โครงสร้างหลักแบบโมโนค็อกพร้อมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ การใช้เบาะนั่งแบบรถแข่งที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์และล้อน้ำหนักเบาที่สุดที่ติดตั้งในโมเดลมาตรฐาน คือกุญแจสำคัญที่ส่งผลให้ Mclaren 750s เบากว่า 720S ถึง 30 กิโลกรัม นอกจากนี้น้ำหนักรถเปล่ายังเบาสูงสุด เพียง 1,277 กิโลกรัม เบากว่าคู่แข่งหลักถึง 193 กิโลกรัม

การออกแบบภายในได้รับการปรับแต่งใหม่ทั้งหมดโดยให้ความสำคัญกับคนขับเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ ชูนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นจอควบคุม Active Dynamic Settings ติดตั้งตรงคอพวงมาลัยรถ และสวิทช์แบบคันโยก ทำให้คนขับสามารถปรับโหมดช่วงล่างและระบบส่งกำลังได้โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย

นอกจากนี้ยังมาพร้อม McLaren Control Launcher (MCL) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของ Mclaren ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในรุ่นนี้ อำนวยความสะดวกให้คนขับสามารถบันทึกโหมดการขับที่ชื่นชอบ และเลือกใช้ได้ทันทีเพียงปลายนิ้วสัมผัส ผ่านปุ่ม MCL ทรงเอกลักษณ์รูป Speedmark ซึ่งใช้ควบคุมได้หลากหลายฟังก์ชั่น ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอากาศพลศาสตร์ การตั้งค่าระบบส่งกำลัง และระบบเกียร์

เพิ่มเติมความสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วย Apple CarPlay® ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่นนี้ และที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แบบ USB-C และ USB-A พร้อมด้วยหน้าจอ Central Information Screen แบบใหม่ กล้องมองหลังและกล้องมองรอบรถที่อัพเกรดให้มีความละเอียดและภาพคมชัดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีระบบ Vehicle-Lift ใหม่ล่าสุด เพียงปุ่มเดียวก็สามารถยกด้านหน้าของรถขึ้นได้อย่างฉับพลันใน 4 วินาที ซึ่งเร็วกว่ารถรุ่นอื่นๆ ของ McLaren และเร็วกว่า 720S (ที่ใช้เวลา 10 วินาที)

ไฮไลท์อื่นๆ ยังรวมถึง ชุดท่อไอเสียด้านท้ายกลางตัวรถที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก McLaren P1™ ส่งมอบเสียงอันเป็นเอกลักษณ์เร้าใจ พร้อมการปรับแต่งอคูสติกให้โทนเสียงแตกต่าง คมชัด และค่อยๆ ดังขึ้นในช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้น มาพร้อมชุดช่วงล่างใหม่ล่าสุด PCC III (McLaren’s Proactive Chassis Control linked-hydraulic suspension) ชุดสปริงและชุดดูดซับแรงกระแทกแบบน้ำหนักเบาที่คำนวณและออกแบบใหม่เพื่อความคล่องตัวกว่าในการขับ ชุดพวงมาลัยแบบ electro-hydraulic ที่เลื่องชื่อผนวกอัตราทดที่เร็วขึ้นเพื่อการเข้าโค้งที่คมมากยิ่งขึ้น ระบบเบรกใหม่อัพเกรดมาพร้อมชุดเบรกเซรามิค ชุดปั๊มสุญญากาศและบูสเตอร์ชุดใหม่ และชุดโมโนบลอค แคลิเปอร์ (monobloc caliper) ที่พัฒนาต่อยอดจากระบบเบรกของ McLaren Senna เทคโนโลยีระบายความร้อนแคลิเปอร์เบรกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถฟอร์มูล่าวัน

  

อีกหนึ่งไฮไลท์ของงานคือการเผยโฉม McLaren Speedtail ยนตรกรรม Hyper-GT คันเดียวในไทยมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท!

  • McLaren Speedtail ผลิตจำกัดเพียง 106 คันในโลก ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับ McLaren F1
  •  มีสมรรถนะเหนือกว่า McLaren ทุกรุ่นที่เคยมีมา แม้กระทั่ง McLaren F1 สมรรถนะที่ทรงพลังนี้คือผลพลอยได้จากการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม และน้ำหนักรถเปล่าที่เบาเพียง 1,430 กิโลกรัม พร้อมขุมพลังอันมหาศาลของระบบส่งกำลังไฮบริด 1,070 แรงม้า
  • ใช้เวลาเพียง 12.8 วินาทีในการเร่งจากจุดสตาร์ทสู่ความเร็วระดับ 300 กม.ต่อชม. ก่อนไปแตะที่ความเร็วสูงสุด 403 กม.ต่อชม.
  • เป็นไฮเปอร์คาร์ที่มีความยาวถึง 5,137 มิลลิเมตร
  • โร้กระจกมองข้าง แต่จะใช้กล้องความละเอียดสูงจับภาพแทน โดยจะตัวกล้องจะกางออกเมื่อสตาร์ทรถ และจะหุบเข้าเมื่อดับเครื่องยนต์หรือใช้ความเร็วสูง
  • ล้อด้านหน้ามาพร้อมฝาครอบที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์
  • ห้องโดยสารมาในรูปแบบ 3 ที่นั่ง โดยมีตำแหน่งผู้ขับขี่อยู่ตรงกลาง และขนาบข้างด้านหลังด้วยเบาะผู้โดยสาร 2 ที่นั่ง เหมือนกับ McLaren F1

บทความที่น่าสนใจ

Lamborghini จัดทริปพาลูกค้าผจญภัยข้ามประเทศไอซ์แลนด์ด้วย Urus เป็นเวลา 1 เดือน

Nopkung

Nissan เปิดตัวโลโก้ใหม่ในรอบ 2 ทศวรรษ เพื่อสะท้อนถึง “การเดินทางสู่ยุคใหม่”

Peng

เครื่องยนต์ของรถ Nissan Altima กระเด็นใส่กำแพงบ้านจนเป็น “รู” ขนาดใหญ่

Nopkung

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy