fbpx

ลองขับ MG ZS เอสยูวีน้องเล็ก บอกได้เลยว่ามัน คุ้มค่า มาก!

กลายเป็นกระแสที่ได้รับการถามไถ่อย่างมาก สำหรับรถยนต์ SUV รุ่นล่าสุดจาก MG ในรุ่น ZS ที่มีทั้งรูปร่างหน้าตาที่เกือบจะถอดแบบมาจาก มาสด้า CX-5 มาทั้งดุ้น ขนาดอันใหญ่โตกว้างขวางของห้องโดยสาร แถมมีออปชั่น i-Smart ที่สามารถสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยเป็นครั้งแรกของโลกได้ รวมทั้งยังสามารถควบคุมรถผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือได้อีกด้วย ที่สำคัญ ราคาค่าอยู่ที่ 7.89 แสนบาท (รุ่นท็อป) ยิ่งทำให้ MG ZS กลายเป็นพ่อหนุ่ม เนื้อหอม ไปโดยปริยาย

และในสัปดาห์นี้ เราได้มีโอกาสไปลองขับ SUV แสน Hot คันนี้บนเส้นทางกรุงเทพ-ระยอง กับระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร ถ้านับขับกลับมาด้วยก็ 400 กว่ากิโลเมตร ทำให้พอจะรู้จักกับ MG ZS คันนี้อยู่พอสมควร

MG ZS เป็นรถยนต์ที่บอกได้เลยว่ามีศัตรู รอบคัน ไปหมด ทั้งจากขนาดและประเภทของตัวรถก็ต้องเจอกับ ขาใหญ่ อย่าง ฮอนด้า CH-R ,มาสด้า CX-3 ,ฟอร์ด eco-Sport และ นิสสัน Juke แบบเต็มๆ แต่ถ้าหันไปมองด้านราคาก็จะไปเจอกับ ฮอนด้า BR-V รถอเนกประสงค์ขนาด 7 ที่นั่งของมาสด้า เห็นมั้ยครับว่า MG ZS งานหนักแค่ไหน

เมื่อศัตรูรอบตัวขนาดนี้หาก MG ZS มีดีไม่พอละก็ งานนี้เตรียมเก็บของกลับบ้านได้เลย!!

ขอเข้าเรื่องเลยดีกว่า เริ่มจากรูปร่างหน้าตาของ MG ZS ที่หลายคนบอกว่า COPY มาจากมาสด้านั้น ทางผู้บริหาร MG ยืนยันว่าทาง MG ออกแบบมากับมือ แต่อาจจะไปใกล้เคียงกับยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งก็มีความเป็นไปได้ อ้าวว!! บอกมาแบบนี้ก็เลยไม่รู้ว่าจะถามยังไงต่อ เอาเป็นว่า ทาง MG ยืนยันว่าไม่ได้ COPY แต่บังเอิญไปเหมือนเท่านั้น

แต่จะว่าไปผมว่าหน้าตาของ MG ZS ดูลงตัวใช้ได้เลยนะครับ สวยยยเลยหล่ะ และนี่กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ MG ZS เข้าตาใครหลายต่อหลายคนเลยทีเดียว นอกจากความสวยงามลงตัวแล้วอีกสิ่งที่ทำให้ MG ZS น่าสนใจขึ้นมาคือเรื่องของขนาดห้องโดยสารที่กว้างขวางเอาการ เรียกว่ากว้างกว่ารถทุกรุ่นที่ผมกล่าวมาข้างต้นก็แล้วกัน

การเปิดตัว MG ZS ครั้งนี้ผมว่าทางผู้บริหาร MG ทำการบ้านมา ดีมาก เลยทีเดียวเพราะเรารู้ๆกันอยู่แล้วว่าตลาด SUV เล็กนั้นดุเดือดแค่ไหน ก็เลยจัดใหญ่ ใส่เต็มกับออปชั่นมาเต็มที่ แถมทำราคามาแบบค่ายรถยนต์อื่นๆ ตาตั้ง เลยทีเดียวโดย MG ZS มีด้วยกัน 3 รุ่นย่อย คือ รุ่น C ,D และ X ที่มากับค่าตัว 6.79 แสนบาท ,7.29 แสนบาท และ 7.89 แสนบาท ตามลำดับเห็นแค่ราคา กับขนาดของตัวรถก็เหลียมมามองกันแล้ว

ทีนี้เรามาดูในรายละเอียดของ MG ZS กันหน่อยดีกว่าว่าใส่อะไรกันมาบ้าง เริ่มตั้งแต่ภายนอก ไฟหน้าของ MG ZS ยังไม่ใช่ LED เป็นแค่โปรเจ็คเตอร์ธรรมดาครับ แต่ระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น X) มีไฟเดย์ไทม์ รันนิ่ง มาให้ด้วย ส่วนไฟท้ายเป็น LED กระจ่างตาดี มีไฟตัดหมอกมาให้ด้วย แต่มีเฉพาะรุ่น D กับ X เท่านั้น ส่วนรุ่น C มีแต่ไฟตัดหมอกหลังครับ

ล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว กำลังหล่อเลยพอดีตัวดีครับไม่ใหญ่ไม่เล็ก ถ้าใหญ่กว่านี้เวลาเปลี่ยนยางทีค่าเสียหายหลายตังค์ไม่ไหวครับ ซื้อรถไม่แพงแต่ไปหมดกับค่ายางก็คงไม่ดี

เปิดฝาท้ายออกพบกับห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่มากกก ใครที่ต้องการรถ SUV ที่ไม่ใหญ่มากแต่มีห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ละก็ไม่ผิดหวังแน่ ขนาดของห้องเก็บสัมภาระใกล้เคียงกับฮอนด้า HR-V และ ฟอร์ด eco-Sport เลยทีเดียว

แต่ๆๆๆ ครับ ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังของ MG ZS ยังมีลูกเล่นอีกอย่างที่บอกได้เลยว่า โคตรเจ๋ง นั่นคือพื้นห้องเก็บสัมภาระหลังนี้สามารถลดระดับให้ลึกลงได้อีก 1 สเต็ป ทำให้ห้องเก็บสัมภาระของ MG ZS ใหญ่ขึ้นอีกไม่น้อยเลยทีเดียว เจ๋งมากครับจุดนี้ เหนือกว่ารถในระดับเดียวกันเลยในจุดนี้

ลองขยับเข้ามาในห้องโดยสารกันบ้าง แต่ขอนั่งหลังก่อนนะครับ พื้นที่ผู้โดยสารตอนหลังกว้างขวางเลยทีเดียวไม่อึดอัด พื้นที่วางขามีพอเพียง พื้นที่เหนือศรีษะก็เหลืออีกเยอะเลยไม่รู้สึกว่าเจ้ารถคันนี้เป็นรถ SUV ขนาดเล็กเลย เบาะนั่งแบบ PVC เกรดพอใช้ได้เลยครับ ไม่ใช่ PVC เกรดต่ำแน่นอน ดูหรูหราพอสมควร

แต่สิ่งที่น่าติ ก็คืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกของผู้โดยสารตอนหลังนั้น ไม่มี อะไรมาให้เลย ไม่ว่าจะเป็นที่พักแขนสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ช่องเสียบ USB ช่องแอร์หลัง เราหาไม่ได้ใน MG ZS คันนี้ครับ ทำให้ผู้โดยสารตอนหลังค่อนข้างลำบากละครับ หากต้องเดินทางไกลๆ ช่องใส่ขวดน้ำมีมาให้ที่ตรงแผงข้างประตูเท่านั้น นั่นหมายความว่าคุณไม่สามารถวางแก้วกาแฟได้ในระหว่างการเดินทางจุดนี้ ผมมองว่า MG ควรจะต้องปรับปรุงในอนาคต

ก้าวกลับมาที่ตำแหน่งผู้ขับกันดีกว่า เบาะนั่งนั่งสบายใช้ได้เลยครับ ไม่เมื่อยล้าเท่าไหร่ ภายในตกแต่งด้วยสีน้ำตาลอ่อนแบบทูโทน ก็พอใช้ได้ครับให้ความรู้สึกหรูหรา ไม่เหมือนกับรถ MG รุ่นก่อนๆ อย่างที่ผมบอกครับ MG ทำการบ้านมาดีมาก เพื่อทำให้ MG ZS กลายเป็นรถที่ ดูดี ทั้งภายนอกและภายใน และบอกได้เลยว่าเจ้า MG ZS นี้ไม่อายใครเลยครับ

แต่ติดตรงที่ หน้าจอแสดงผลกลางที่ยังดู เหมือนหน้าจอโทรศัพท์รุ่นเก่าไปหน่อยยังไม่คมชัดเท่าไหร่ ทำให้แผงคอนโซลหน้าดูไม่หรูหราเท่าที่ควร นอกนั่นผ่านครับ

เหลือบตามองบน ก็เจอกับหลังคาซันรุฟ บานเบ้อเริ่มที่เป็นแบบพาโนรามิก ที่กว้างไปถึงผู้โดยสารตอนหลังถือว่าเป็นรถราคาไม่ถึง 1 ล้านบาทคันเดียวที่มีหลังคาพาโนรามิคครับ ซึ่งหลังคาพาโนรามิคนี้ หลายคนอาจกังวลว่าจะส่งผลกับอากาศในห้องโดยสารหรือเปล่า เพราะแดดบ้านเราเอาเรื่องไม่น้อย

ก็ต้องบอกว่า หลังคาพาโนรามิกตัวนี้ เป็นกระจกเฉดที่กรองแสงและความร้อนแล้วประมาณ 40% ซึ่งกันแดดกันความร้อนระดับนึงครับ เนื่องจากม่านกั้นหลังคานั้นเป็นแบบโปร่งแสง ซึ่งทาง MG บอกว่าต้องการให้ภายในรถดูสว่าง และโปร่ง ซึ่งก็จริงครับเมื่อเข้ามานั่งในรถเราจะรู้สึกว่ารถคันนี้ก็ว้าวไม่น้อยเลยทีเดียว

ซึ่งทางแก้เรื่องความสว่าง และความร้อนจากหลังคาพาโนรามิก ก็คือการติดฟิล์มกรองแสงเพิ่มเข้าไป ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไปทันที หากใครอยากให้ในรถทึบหน่อยก็ติดฟิล์มทึบ ใครอยากให้รถสว่างเหมือนเดิมก็ติดฟิล์มใส แต่กรองความร้อนดีๆ ก็แจ่มไปอีกแบบครับ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมจะติดฟิล์มใสนะ รถสว่างดี

มาลองขับกันเลยดีกว่า ทันทีที่กดปุ่มสตาร์ท ผมขอเล่นฟังก์ชั่นนี้ก่อนเลย นั่นคือฟังก์ชั่นปรับน้ำหนักพวงมาลัย ที่เราต้องเข้าไปปรับที่จอแสดงผลกลางครับ โดยน้ำหนักพวงมาลัยนี้สามารถปรับได้ 3 ระดับคือ ในเมือง ,ทั่วไป และสปอร์ต ก็เท่ดีครับกับฟังก์ชั่นนี้ ซึ่งดีมากกับสาวๆ ที่ต้องการขับรถที่พวงมาลัยเบาๆ หรือเวลาที่เราขับในเมืองแล้วต้องการรถพวงมาลัยเบาๆ ก็ปรับไปที่ในเมือง พวงมาลัยก็เบาขึ้นมาเลยครับ เจ๋งๆ เหมาะกับเวลาเราขับรถไปในห้างที่ต้องหมุนพวงมาลัยเยอะๆ เวลาเข้าจอดในที่แคบๆ ง่ายมือเลย

แต่ผมใช้โหมด ปกติ ครับไม่หนืดๆมือนิดนึงกำลังดี ถ้าใครชอบพวงมาลัยหนักๆ สไตล์รถสปอร์ต หรือรถยุโรป ก็ปรับเป็นโหมดสปอร์ต ได้เลย แต่ความหนักของพวงมาลัยนี้จะปรับน้ำหนักเพิ่มตามความเร็วของรถนะครับ แม้ว่าคุณจะปรับโหมดเป็นในเมือง ถ้าคุณขับรถเร็วขึ้นพวงมาลัยก็จะหนักขึ้นตามไปด้วย

มาดูที่เครื่องยนต์กันดีกว่า เครื่องยนต์ของ MG ZS ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ซึ่งเป็นบล็อคเดียวกับรถซีดาน MG5 แต่ได้ปรับปรุงเครื่องตัวนี้ใหม่ให้เบาลงหลายสิบกิโลกรัม และแรงม้าเพิ่มขึ้นจาก 106 แรงม้ามาเป็น 114 แรงม้า โดยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่ถูกพัฒนาใหม่นี้ ได้นำมาใช้ใน MG ZS เป็นรุ่นแรก ส่วนเกียร์เป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เท่านั้น

บอกได้เลยว่า ครั้งแรกที่ได้ยินว่า MG ZS ใช้เครื่อง 1.5 ลิตร มาใช้ร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ผมยี้ เลยครับ เพราะมองว่าอย่าง ล้าสมัย

แต่เมื่อมาลองขับจริงๆ แล้วอัตราเร่งในช่วงต้น โดยเฉพาะตอน ออกตัว ผมบอกได้เลยว่า อึ้ง!! ครับ การออกตัวจากล้อหยุดนิ่ง MG ZS ทำได้ดีมาก ไม่มีความรู้สึกว่าอืดอะไรเลย รวมถึงอัตราการเร่งแซงในความเร็วระดับกลางอยู่ในเกณฑ์ที่บอกเลยว่า รับได้ แม้ว่าเครื่องจะไม่ได้แรงอะไรมากนัก แต่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสบาย ไม่ได้อืดเหมือนอย่างที่คิด

เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ก็ทำงานได้ไหลลื่นดีครับ ไม่มีอาการกระตุกให้เห็น จะมีก็แต่ในความเร็วเกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ลากรอบเครื่องยนต์หนักหน่อย

การเร่งแซงในช่วงความเร็วสูง ต้องใช้เวลาลากรอบเครื่องยนต์มากสักหน่อย ซึ่งก็ต้องรู้จักกับเครื่องยนต์และตัวรถหน่อยครับ

ผมขับที่ความเร็วที่สูงกว่ากฏหมายกำหนด ช่วงล่างใช้ได้เลย ไม่มีร่อนไม่มีสั่น พวงมาลัยนิ่ง ซึ่งช่วงล่างของ MG นี้ผมนับถือมาตั้งแต่รถซีดานอย่าง MG5 แล้ว ช่วงล่างไว้ใจได้ครับขับเร็วไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่กว่าจะเร็วนี่แหละที่ต้องใช้เวลามากหน่อย

สรุปเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 4 เกียร์ ใช้งานได้ดีทีเดียว ใช้งานในเมืองได้สบาย ออกต่างจังหวัดได้แต่ไปแบบเรื่อยๆ ก็เหมือนกับรถเครื่อง 1.5 ทั่วไปนั่นแหละครับ หวือหวามากไม่ได้

อัตราการสิ้นเปลือง ตอนแข่งขับประหยัดผมทำได้ 18 กิโลเมตรต่อลิตร แต่นั่นเป็นการแข่งนะครับ ใช้อ้างอิงไม่ได้ ถ้าใช้งานจริงอัตราการประหยัดน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 10 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าประหยัดอะไรมากนัก แต่เมื่อเทียบกับขนาดของรถที่คันเบ้อเริ่ม เครื่องยนต์เท่านี้ ราคาเท่านี้ ผมรับได้ครับ

มาดูถึงฟังก์ชั่น i-Smart กันหน่อย พวกคำสั่งใช้งานด้วยเสียงที่ฮือฮากันนั้น ผมว่ามันเป็นสเน่ห์ของรถคันนี้นะที่สามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ ทั้ง เปิด-ปิด หลังคา เปิด-ปิด กระจก เปิด-ปิด วิทยุ เพิ่ม-ลด ระดับเสียงเครื่องเสียง เปิด-ปิด ระบบปรับอากาศ เพียงแค่พูดว่า Hello MG!! ระบบสั่งคำสั่งด้วยเสียงก็พร้อมทำงาน ซึ่งระบบนี้ ก็ต้องใช้เวลาฝึกกับรถหน่อยนะครับ ครั้งแรกๆ อาจจะสับสนกันบ้าง แต่อย่างเพิ่งบอกว่าระบบใช้ไม่ได้นะครับ เพราะระบบต้องเรียนรู้เสียง และคำสั่งของเจ้าของรถบ้าง โดยทาง MG บอกว่าใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ก็น่าจะโอเคแล้ว คือต้องสั่งกันบ่อยๆ นั่นแหล่ะครับ ระบบถึงจะเสถียร

นอกจากคำสั่งเสียงแล้ว ผมชอบระบบ i-Smart ที่ทำงานผ่าน แอปพลิเคชันชั่นมือถือมากที่สุด เพราะทำให้เราได้รู้สถานะตัวรถของเราทุกอย่าง ไม่ว่าจอดอยู่ที่ไหน ให้รถเปิดไฟ หรือมีเสียงแตร แสดงตำแหน่งของรถได้ด้วย สบายเลยครับทีนี้ ไม่ต้องกลัวหารถไม่เจอแล้ว และระบบนี้ยังบอกเจ้าของได้อีกด้วยเมื่อรถถูกขับออกนอกพื้นที่ที่เรากำหนดไว้หรือไม่ และยังสั่งสตาร์ทและเปิดแอร์ก่อนที่เราขึ้นรถได้อีกด้วย ชอบอะ และถ้ารถถูกโจรกรรม ระบบนี้ก็จะบอกเราว่ารถกำลังเคลื่อนไปที่ไหน ตัดปัญหาเรื่องรถหายไปได้เลย

บอกได้เลยครับว่า ระบบ i-Smart ความกว้างขวางภายในตัวรถ อุปกรณ์มาตรฐานที่มีมาให้ กับราคารถที่ราคารุ่น C ราคา 679,000, รุ่น D ราคา 729,000, รุ่น X ราคา 789,000 ผมอยากได้สักคันเลย


 

บทความที่น่าสนใจ

พิสูจน์ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เทพแห่ง ออฟโรด

idiot

All-new Toyota Corolla Altis hybrid ขับจริงเน้นใช้งาน จะประหยัดน้ำมันแค่ไหน ต้องลอง!!

idiot

ทดลองขับ New Mitsubishi Xpander หล่อขึ้น เกียร์ใหม่ ช่วงล่างแน่น เทคโนโลยีมีให้แค่พอเพียง!

idiot

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy