ถึงแม้ว่า Ford จะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานกว่า 120 ปี และถือเป็นบริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ไม่น่าเชื่อว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2023 ที่ผ่านมา Ford Model e ซึ่งเป็นแบรนด์ย่อยที่รับผิดชอบตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ได้ขาดทุนไปแล้วมากถึง 700 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยที่ราวๆ 2.4 หมื่นล้านบาท
หมายเหตุ : ในปัจจุบัน Ford ได้แบ่งแบรนด์ย่อยภายในเครือออกเป็น 3 แบรนด์หลักๆได้แก่
- Ford Model e : ทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
- Ford Blue : เน้นทำตลาดรถยนต์ส่วนบุคคลที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป
- Ford Pro : ที่ทำตลาดในกลุ่มรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
โดยจากรายงานผลประกอบการของ Ford Model e ในช่วงไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมาได้ระบุว่า พวกเขาสามารถส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าไปได้เพียง 12,000 คัน สร้างรายได้ให้กับ Ford Model e ไปได้ราวๆ 722 ล้านดอลลาร์ แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของปี 2022 พวกเขามีรายได้อยู่ที่ราวๆ 1600 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าลดลงมากกว่าครึ่ง และเมื่อคำนวณถึงต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ (ภาษี) จะพบว่าในช่วงไตรมาสที่ 1 นี้พวกเขาขาดทุนไปมากถึง 700 ล้านดอลลาร์ (2.4 หมื่นล้านบาท)
ปัจจัยที่ทำให้ Ford ขาดทุนในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมีผลมาจากโรงงาน Cuautitlan ที่ตั้งอยู่ในประเทศเม็กซิโก ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานการผลิตหลักของรถไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดของพวกเขาอย่าง Mustang Mach-E มีความจำเป็นต้องลดกำลังการผลิตลง เนื่องจากพวกเขากำลังขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้ 210,000 ต่อปี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2023 นี้
อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Ford Model e ขาดทุนก็เป็นเพราะ “สงครามราคา” รถยนต์ไฟฟ้าที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Tesla ตัดสินใจลดราคาขายรถยนต์ทุกรุ่นลงราวๆ 13 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อซึ่งส่งผลต่อยอดขายและผลกำไรของพวกเขาอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ทาง Ford ยังได้ทุ่มเงินมากถึง 3,500 ล้านดอลลาร์ (1.2 แสนล้านบาท) เพื่อสร้างโรงงานสำหรับผลิตแบตเตอรี่ LFP ในเมืองมาร์แชล รัฐมิชิแกน และเมืองบลูโอวัลซิตี้ในรัฐเทนเนสซี ซึ่งจะผลิตรถบรรทุกไฟฟ้ารุ่นต่อไปของฟอร์ดในปี 2025 ด้วยกำลังการผลิตสูงถึง 500,000 คันในแต่ละปี
ถึงแม้ว่าแผนกรถยนต์ไฟฟ้าของ Ford จะขาดทุนในช่วงไตรมาสที่ 1 แต่รแผนกรถยนต์สันดาปอย่าง Ford Blue และ Ford Pro ยังคงเป็นพระเอกผู้สร้างผลกำไรให้กับบริษัท และช่วยแบกรับภาระขาดทุนของ Ford Model e โดยหากคิดรวมทั้ง 3 แบรนด์ย่อยของ Ford (Ford Model e, Ford Blue และ Ford Pro) พวกเขาสามารถทำกำไรสุทธิไปได้ราวๆ 4.2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นผลกำไรสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งรถที่สร้างผลกำไรให้ฟอร์ดได้มากที่สุดก็ยังคงเป็นรถกระบะยอดฮิตอย่าง F-150 นั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก : Ford / carscoops.com