หลังจากที่เปิดตัวกันไปในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมากับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชัน ใหม่ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเพราะได้มีการปรับลุคใหม่หมด ไม่ว่าจะเป็นทั้งภายนอก ภายใน รวมถึงในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะอวดที่มีมาให้อย่างครบครันและเทคโนโลยีที่ใส่มาอย่างจัดเต็ม คราวนี้ถึงทีที่จะได้ไปทดลองขับกันบ้าง ฟิลลิ่งจะเป็นยังไง จะดีจริงสมคําร่ำลือ รึเปล่า? งานนี้มีคำตอบ
ฟอร์ด ประเทศไทย ได้เชิญคณะสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศร่วมกิจกรรมทดลองขับรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ เพื่อสัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถยนต์นั่งแบบอเนกประสงค์รุ่นล่าสุดจากฟอร์ดที่ผสานสุดอดสมรรถนะเพื่อพิชิตทุกการผจญภัยทั้งบนทางเรียบและออฟโรด เข้ากับอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ความสะดวกสบายเหนือระดับ และเทคโนโลยีล้ำสมัย กับการทดสอบภายใต้กิจกรรม ‘Life is Yours to Master’ จัดขึ้นที่จังหวัดกาญจนบุรี วันนี้จะเราจะได้สัมผัสสมรรถนะของรถยนต์รุ่นใหม่ ทั้งบนถนนออนโรดและออฟโรด รวมถึงการทำงานของหลายๆ ฟีเจอร์ในฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ ที่ติดตั้งมาเป็นครั้งแรกในเซกเมนต์ ก่อนอื่นเราไปดูจุดเด่นๆของภายนอก ภายใน กันก่อน
อย่างที่บอกไปนะครับว่า ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชัน ใหม่ ได้มีการปรับลุคใหม่หมด แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้มากพอสมควร ดูแข็งแกร่ง บึกบึนมากขึ้น แต่แฝงไปด้วยความหรูหรา ด้วยไฟหน้าแบบ Matrix LED ที่สามารถปรับระดับความสว่างของแสงไฟด้านหน้าตามระดับความเร็วของรถและองศาการเลี้ยว ซ้าย-ขวา บวก ลบ ได้ถึง 15 องศา พร้อมระบบป้องกันไฟแยงตา และยังสะดุดด้วยไฟ Daytime running light แบบ LED รูปทรง C-Clamp เอกลักษณ์ DNA ของรถฟอร์ดที่เด่นชัดตั้งแต่แรกเห็น (เฉพาะรุ่น Titanium+4×4) รับเข้ากลับกระจังหน้าสีดำขนาดใหญ่ตัดด้วยเส้นโครเมี่ยมพร้อมโลโก้ฟอร์ดและกล้องมองหน้า ถัดรองลงมาก็จะพบกับไฟตัดหมอกแบบ LED และเซนเซอร์ที่กันชนหน้าที่มีมาให้ถึง 6 จุด พร้อมหูลาก 2 อันสีดำด้านล่าง
ในส่วนของด้านข้างได้มีการเพิ่มฐานล้อให้กว้างมากขึ้น 50มม. เพื่อการควบคุมรถได้ดียิ่งขึ้น มากับล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ยาง 255/55/R20 พร้อมบันไดข้างและราวหลังคา กระจกมองข้างเป็นสีทูโทน โครเมี่ยมตัดดำ พร้อมฝังกล้องมองด้านข้าง ซ้าย-ขวา
ด้านหลังรถมาพร้อมกับไฟท้ายดีไซน์ใหม่ แบบ LED Signature ทรงเรียวยาว ช่วยเน้นให้ด้านท้ายรถดูกว้างขึ้น (เฉพาะรุ่น Sport และ Titanium+) พร้อมไฟตัดหมอกด้านล่างและเซ็นเซอร์ด้านหลัง 6 จุด เดี๋ยวเราจะมาดูกันว่าทำไมเค้าถึงให้เซ็นเซอร์มามากมายขนาดนี้
มิติ
กว้างxยาวxสูง มม. : 1923x4914x1842
ระยะช่วงล้อ มม. : 2900
ความกว้างช่วงล้อหน้า/หลัง มม. : 1620/1620
ระยะต่ำสุดจากพื้น มม. : 227
ความสามารถในการลุยน้ำ มม. : 800
ความรู้สึกแรกที่เปิดรถเข้ามาสัมผัสได้ถึงความหรูหรา พรี่เมี่ยมในการเลือกใช้วัสดุ โดยถูกออกแบบให้สอดรับกันหลายส่วนตั้งแต่แผงหน้าปัดด้านหน้าที่วางเต็มความกว้างของพื้นที่ต่อเนื่องลากยาวไปถึงคอนโซลกลางการจัดวางตำแหน่งต่างๆ โดยเฉพาะตำแหน่งของการวางแขนวางมือกับตำแหน่งเกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter ที่หุ้มด้วยหนังสวยงาม ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทางวิศวกรได้คิดค้นและวิจัยมาแล้วว่าเป็นตำแหน่งที่สบายและสะดวกที่สุดในการวางมือเปลี่ยนเกียร์รวมทั้งทางวิศวกรยังได้บอกอีกว่าเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดในการออกแบบในครั้งนี้
พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังก์ชั่น ปรับได้4ทิศทาง เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง และเห็นที่จะสะดุดตาที่สุดคงเป็นระบบอินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสรุ่นล่าสุดขนาด 12 นิ้ว SYNC4A สามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ ที่เชื่อมต่อกับ Cloud มาพร้อมฟีเจอร์การใช้งานใหม่ๆเพียบ รองรับ Wireless AppleCarPlay และ Android Auto ด้วยที่หน้าจอขนาดใหญ่ยังสามารถแสดงผลภาพกล้องรอบคัน 360 องศาได้อย่างคมชัดอีกด้วย เหมาะกับสายออฟโรดที่ชอบบุกตะลุยป่าเขาหรือในกรณีเข้าไปที่แคบ จึงสามารถมองมุมรถได้แบบรอบคันช่วยให้กะระยะการวางล้อได้แม่นยำและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น (เฉพาะรุ่น Titanium+4×4) ในการออกแบบภายในของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชัน ใหม่ ทางวิศวกรบอกว่าจะมีไว้เพียงปุ่มที่จำเป็นเท่านั้น อาธิ เช่น ปุ่มปรับระแบบแอร์ เบรกมือไฟฟ้า ปุ่มควบคุมระบบขับเคลื่อน4ล้อและโหมดการขับขี่ ปุ่มระบบช่วยจอดอัตโนมัติ เป็นต้น ในสวนของเบรก Auto Hold จะไม่มีปุ่มลอยจะต้องสั่งการผ่านจออินโฟเทนเมนท์
ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกทางฟอร์ดมีมาให้อย่างล้นหลาม ไว้ว่าจะเป็นแท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย ช่องต่อUSBที่กระจกมองหลัง ช่องUSB Data 2 ตำแหน่ง USB Charger 2 ตำแหน่ง ช่องต่อไฟ12v 3ตำแหน่ง ช่องต่อไฟ AC230V (400W) 1 ตำแหน่ง เรียกได้ว่าเพียงพอต่อการใช้งานในทุกตำแหน่งที่นั่งแน่นอน
สำหรับเบาะนั่งแถวที่ 2 มีปุ่มปรับแอร์มาให้เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสายตอนหลัง เบาะนั่งสามารถปรับเลื่อนได้ และพับได้แบบแบ่ง 60:40 ส่วนเบาะนั่งแถวที่3 พับได้แบบแบ่ง 50:50 โดยสามารถพับได้แบบระบบไฟฟ้าเพียงปลายนิ้วสัมผัส ที่สำคัญเบาะนั่งแถวที่ 2 และ 3 ยังพับได้แบบแบนราบเพื่อการบรรทุกสัมภาระยาวๆได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ทีมคิดค้นยังได้ใส่ใจคิดค้นวิธีการป้องกันไม่ให้ของตกเมื่อเปิดประตูท้ายรถ โดยสร้างขอบเล็กๆ ที่เรียกกันเองในทีมว่า “จุดดักแอปเปิ้ล” (Apple catcher) บริเวณด้านหลังของที่เก็บสัมภาระ และยังมีที่เก็บของใต้พื้นรถเพื่อความเป็นระเบียบของห้องโดยสาร ฝาท้ายประตูเป็นแบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ kick sensor และที่สำคัญทางวิศวกรได้บอกอีกว่าได้ใช้วัสดุชั้นดีในการออกแบบภายในห้องโดยสารเพื่อให้ห้องโดยสายนั้นมีความเงียบเป็นพิเศษ ตัดเสียงรบกวนจากภายนอก สามารถคุยพูดกันในรถได้แบบเบาๆ ไม่ว่าจะนั่งอยู่ตำแหน่งเบาะไหนก็ตามภายในรถ เพื่ออรรถรสในการเดินทางที่ดีที่สุด
เอาละครับเราได้รู้จักตัวรถกันพอสมควรแล้ว ถึงเวลาที่มาทดลองขับกันบ้างมาดูสิว่าทางฟอร์ดได้จัดสเตชั่นแบบไหนให้เราทดสอบกันในวันนี้ โดยการทดสอบแบ่งออกเป็น BASE 1-3 มาเริ่มกันที่ BASE แรกกันก่อน เป็นการทดลองขับบนถนนออนโรด และ ออฟโรด เพื่อทอสอบในเรื่องของเครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่วง และโหมดการใช้งานที่เหมาะสมกับสภาพถนน ซึ่งบอกว่าเลยว่ามีมาให้ถึง 6 โหมดการขับขี่ด้วยกัน
รถรุ่นที่เราได้ทดลองขับกันในวันนี้เป็นรุ่นท็อปสุดคือ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ไทเทเนียมพลัส 4×4 10AT มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 16 วาล์ว เทอร์โบคู่ ให้พลังสูงสุด 210 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ผสานกำลังกับเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter 10 สปีด รองรับน้ำมันได้ถึง B20 โดยมีความจุถังน้ำมันอยู่ที่ 80 ลิตร
มาเริ่มที่ในส่วนของออนโรดกันก่อน โดยจะทดลองขับกันในรูปแบบของขบวนคาราวานระยะทางสั้นๆประมาณ 20 กิโลเมตร ถ้าพูดกันตามตรงระยะทางแค่นี้อาจจะจับฟิลลิ่งอะไรยังไม่ได้มากนัก ในส่วนของการขับขี่ก็ต้องบอกเลยว่ารถของเค้านั้นขับดีอยู่แล้ว เจเนอเรชัน ใหม่ นี้ก็เช่นกัน โดยมีโหมดการขับขี่มาให้เลือกถึง 6 โหมด โหมดปกติ , โหมดประหยัด ,โหมดลากจูง, โหมดทางลื่น , โหมดโคลน , โหมดทราย
ในส่วนของเส้นทางออนโรดเราได้ใช้อยู่ 2 โหมดคือโหมดปกติ และ โหมดประหยัด มาเริ่มกันที่โหมดปกติกันก่อน ออกแบบเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน เครื่องยนต์ตอบสนองได้ดี ถ้าใช้ภาษาบ้านๆคือกดเป็นมา มีกำลังพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมิตแบบ E-Shifter 10 สปีด ที่มีการปรับจูนใหม่ทำให้สมูทมากขึ้นกว่าเดิม แต่เกียร์ยังคงสามารถ skip ข้ามเกียร์ได้อยู่ อาธิเช่น เกียร์ 2 แล้วไปเกียร์ 4 ในส่วนนี้อาจจะต้องมีการปรับตัวกันหน่อยในการใช้คันเร่งไม่ว่าจะเร่งหรือยกให้สัมพันธ์กับรอบเครื่องยนต์ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนเกียร์ skip เกียร์แน่นอน ทางวิศวกรแจ้งว่าตัวรถจะจดจำพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้งานแต่ละคนและจะปรับความเหมาะสมการตอบสนองความต้องการให้กับผู้ใช้งานนั้นๆ บางคนเท้าหนักชอบขับรถเร็วเป็นประจำ ตัวรถก็จะมีการเรียนรู้พฤติกรรมและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานให้มากขึ้น บางคนสายชิวเน้นขับเรื่อยๆตัวรถก็จะมีการตอบสนองที่ต่างกันออกไป เพราะด้วยที่ตัวรถไม่ได้มีโหมด sport มาให้ จึงอาศัยเรียนรู้จากพฤติกรรมการขับขี่ ถ้าใครที่ต้องการความมันแบบดิบๆหน่อย ที่คันเกียร์จะมีโหมด M มาให้ พร้อมปุ่ม + – สามารถกดปุ่ม M แล้วเปลี่ยนเกียร์แบบ manual ด้วยปุ่ม + – ได้เลย
จากนั้นมาลองในโหมดประหยัดกันบ้าง โดยการใช้มือหมุนไปที่ปุ่ม DRIVE MODES โหมดนี้ทำงานด้วยการประเมินพฤติกรรมการขับขี่ และปรับการทำงานของระบบส่งกำลังและระบบควบคุมความเร็วให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มอัตราการประหยัดน้ำมันให้ได้สูงสุด โดยสิ่งที่แตกต่างจากโหมดปกติอย่างชัดเจน คือน้ำหนักของคันเร่ง คันเร่งในโหมดประหยัดจะหน่วงกว่าและหนักกว่ามาก ถ้าหากใช้โหมดนี้เวลาเร่งแซงต้องกะระยะและเพื่อเวลาให้มากขึ้นกว่าเดิมเพราะเครื่องยนต์จะตอบสนองช้ากว่าโหมดปกติอย่างชัดเจน ในส่วนของพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ทางฟอร์ดทำออกมาได้ดีเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักหรือความแม่นยำซึ่งเค้าขึ้นชื่อมาเสมอในเรื่องนี้ ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนก2ชั้นพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงก์และเหล็กกันโคลง ให้ความรู้สึกนุ่มหนึบยึด เกาะได้อย่างดีเยี่ยมในทางราบ เดี๋ยวต้องไปดูในทางออฟโรดอีกทีว่าเป็นอย่างไรบ้าง ในส่วนของระบบเบรกเป็นดิสเบรก 4 ล้อ คอนโทรลง่าย เบรกนุ่ม ระยะกดกำลังดี ให้ความรู้สึกมั่นใจในทุกย่านความเร็ว ถูกปรับเช็ตออกมาได้อย่างลงตัวเหมาะสำหรับรถยนต์นั่งอเนกประสงค์
จากที่เราได้ลองในโหมดการขับขี่ทั้งโหมดปกติและประหยัดกันไปแล้ว มาลองในส่วนของเทคโนโยลีในการช่วยขับขี่ขั้นสูงและระบบความปลอดภัย Lane Keeping System with Road Edge Detection หรือระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางพร้อมตัวช่วยตรวจจับเส้นถนน เมื่อเราเปิดระบบนี้แล้วตัวรถมีการเบี่ยงออกจากเส้นถนนระบบจะช่วยหักพวงมาลัยเข้ามาเล็กน้อยเพื่อให้เราได้รู้สึกตัวแต่จะไม่มีเสียงเตือนใดๆ และอีกหนึ่งระบบที่เห็นว่าจะมีประโยชน์อย่างมากในทุกวันนี้ ตัวช่วยให้การขับขี่ที่ทำให้เราสะดวกสบายมากขึ้นคือ Adaptive Cruise Control with Stop-and-Go and Lane Centering ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะหว่างอัตโนมัติพร้อมระบบ Stop and Go และระบบควบคุมให้รถอยู่กลางช่องทาง โดยระบบนี้จะเริ่มทำงานตั้งแต่ความเร็วปลายที่ตั้งไว้จนถึงรถหยุดนิ่ง เมื่อรถคันข้างหน้าเคลื่อนตัวรถเราก็จะเคลื่อนตัวตาม หากหยุดนิ่งเกิน 3 วินาทีระบบจะตัดทันที สามารถปรับระดับความชิดตามคันหน้าได้ถึง 4 ระดับ ละเมื่อถ้าเราปล่อยมือจากพวงมาลัยเกิน 12 วินาที จะมีเสียงเตือนพร้อมข้อความขึ้นที่จอแสดงผลเรือนไมล์เตือนให้ผู้ขับขี่นั้นจับพวงมาลัย แต่ก็แอบเสียดายอยู่เหมือนที่ระยะทางการขับในส่วนของออนโรดนั้นสั้นไปนิดและยังเป็นในแบบคาราวานจึงไม่สามารถลองในส่วนอื่นๆได้เยอะมากเท่าไหร่
มาในส่วนไฮไลท์ของงานเลยก็ว่าได้คือในถนนออฟโรดกับโหมดการขับเคลื่อนสี่ล้อ Electronic Shift-on-the-Fly ที่เปลี่ยนจากขับเคลื่อน 2 ล้อเป็น 4 ล้อโดยไม่ต้องหยุดรถ ซึ่งรุ่นก่อนน่านี้เป็นแบบ AWD สำหรับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชัน ใหม่ สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ด้วยตนเองแล้ว ทันทีที่เข้าสู้ทางออฟโรด instructor ก็ให้เราเปลี่ยนโหมดการขับเคลื่อนจาก 2H เป็น 4H แบบ Shift-on-the-Fly โดยกดปุ่มที่ตรง DRIVE MODES พร้อมเลือกโหมดการขับขี่ไปที่โหมดทางลื่น จะเป็นการปรับการทำงานของเครื่องยนต์ เกียร์ และระบบควบคุมการยึดเกาะถนน เพื่อลดโอกาสที่ล้อจะหมุนฟรี ป้องกันการลื่นไถล หน้าจอกลางจะแสดงผลให้เห็นอย่างชัดเจนว่าขณะนี้รถอยู่ในโหมด 4H เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่สัมผัสได้คือการยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น กำลังรถมาอย่างสม่ำเสมอ ในทางออฟโรดเครื่องยนต์กับเกียร์ทำงานสัมพันธ์กันได้ดีมาก ผมใช้คันเร่งนิ่งๆอยู่ที่ 1,500 รอบ ตัวรถสามารถปีนป่ายไต่เนินได้อย่างสบายและง่ายดายได้โดยที่ไม่ต้องเค้นกำลังของเครื่องยนต์ ถ้าหากเราใช้ความเร็วไม่เกิน 9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จอกลางจะแสดงผลกล้อง 360 องศา รอบคันให้เราดูแบบอัตโนมัติอีกด้วย นอกจากนี้ทีมงานยังได้เตรียมเนินหินที่เรียกว่าแกรนแคนยอนและบ่อโคลนให้เรา เพื่อย้ำให้เห็นเลยว่าเจ้าฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชัน ใหม่ นั้นลุยได้ทุกเส้นทางจริงๆ
การที่จะผ่านเนินหินที่เรียกว่าแกรนแคนยอนและบ่อโคลนนั้นก่อนอื่นต้องเปลี่ยนโหมดการขับเคลื่อนไปที่ 4L โดยทำการหยุดรถนิ่งสนิทแล้วเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ไปที่ตำแหน่ง N แล้วกดปุ่ม 4L ที่ DRIVE MODES พร้อมกับปรับโหมดการขับขี่ไปที่โคลน จะเหมาะกับพื้นที่ผิวที่ปกคลุมด้วยโคลน กรวด หรือร่องดิน แล้วเข้าเกียร์ D ตัวรถจะแสดงสัญลักษณ์โหมดการขับเคลื่อน 4L ที่จอแสดงผลกลางพร้อมใส่ดิฟล็อกให้แบบอัติโนมัติ เมื่อปรับโหมดการขับขี่เรียบร้อยก็พร้อมลุย ด้วยที่รถมี Ground Clearance อยู่ที่ 227 มม. และทางโรงงานเคลมไว้ว่ารถสามารถลุยน้ำได้ถึง 800 มม. บวกเข้ากับแรงบิดมหาศาล 500 นิวตันเมตร จึงทำให้รถผ่านอุปสรรคแกรนแคนยอนและบ่อโคลนได้อย่างนิ่มนวลและง่ายดายจริงๆ ช่วงล่างในส่วนของถนนออฟโรดก็ทำออกมานุ่มนวลไม่กระด้างถึงแม้โช๊คอัพที่ใช้จะเป็นแบบ twin tube แต่ส่วนตัวผมว่าตอบโจทย์การใช้งานได้ดีทั้งออนโรดและออฟโรด
มาต่อกันที่ BASE 2 สถานีนี้ Comfort and Convenience เป็นเรื่องของความอเนกประสงค์ ความกว้างขวางพื้นที่ความจุของตัวรถ และ ฟีเจอร์เด่นๆ อาทิ
ฟอร์ดพาส (FordPass™): แอปพลิเคชันที่ยกระดับประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถฟอร์ดได้ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยบริการเชื่อมต่อและฟีเจอร์อำนวยความสะดวกที่หลากหลาย เช่น การสตาร์ทรถ ล็อกและปลดล็อก ปรับอุณหภูมิรถล่วงหน้า และตรวจสอบสถานภาพของรถผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน
มากันที่ BASE 3 สถานี Smart Technology’ ว่าในเรื่องของเทคโนโลยีล้วนๆ ติดตั้งมาเพื่อเสริมความมั่นใจของผู้ขับขี่ และช่วยให้ควบคุมรถได้ดียิ่งขึ้นในหลากหลายสถานการณ์ ได้แก่
ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ 2.0: ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ ช่วยให้ผู้ขับขี่จอดรถเทียบข้าง หรือถอยจอดเข้าซองได้ง่ายๆ เพียงกดปุ่มเดียวค้างไว้ (ถ้าหากปล่อยมือจากปุ่มตัวรถจะหยุดทันที เมื่อกดปุ่มอีกครั้งระบบก็จะกลับมาทำงานต่อ) โดยระบบจะช่วยหมุนพวงมาลัย เปลี่ยนเกียร์ รวมถึงควบคุมคันเร่งและเบรก ให้รถเข้าสู่ช่องจอดได้อย่างง่ายดาย เมื่อจอดรถเสร็จได้ตำแหน่งที่เหมาะสมระบบจะเปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่ง P เป็นอันว่าเสร็จสิ้นเรียบร้อย โดยสามารถค้นหาที่จอดได้ความเร็วต้องไม่เกิน 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และอีกหนึ่งฟังก์ชั่นระบบช่วยเบรกขณะถอยหลังอัตโนมัติ ระบบนี้จะทำงานต่อเมื่อความเร็วขณะถอยหลังไม่เกิน 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะช่วยให้ผู้ขับขี่ถอยรถได้มั่นใจยิ่งขึ้น ด้วยการตรวจจับวัตถุบริเวณท้ายรถ และส่งเสียงเตือน หากผู้ขับขี่ไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ระบบจะส่งแรงเพื่อเบรกจนรถหยุดนิ่ง ถ้าหากเกิน 3 วินาทีแล้วผู้ขับขี่ยังไม่เหยียบเบรก ระบบจะปลดเบรกออกแล้วรถตัวจะไหลต่อ แต่ในกรณีเวลา 3 วินาที ในความเป็นจริงแล้วเพียงพอต่อว่าเหยียบเบรกเองแน่นอน โดยทั้งสองระบบที่กล่าวมาตัวรถจะทำงานคู่กับกล้อง 360 องศาและเซ็นเซอร์ที่ติดมากับตัวรถ
ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ Safety System & Driving Assistant
- ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง /ถุงลมคู่หน้า ฝถุงลมด้านข้าง /ม่านถุงลมนิรภัย / ถุงลมบริเวณหัวเข่าคนขับ
- ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน Emergency Assistance
- สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและด้านหลัง
- ระบบป้องกันล้อล็อก ABS
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control
- ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA
- ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM
- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา HDC
- เบรกมือไฟฟ้า
ถ้าให้สรุปเกี่ยวกับฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ ก็ต้องบอกเลยว่าเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ครบและตอบโจทย์ทุกการใช้งานจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นออนโรดหรือออฟโรด ในการขับขี่สมรรถนะเครื่องยนต์ช่วงล่างคงติเค้าไม่ได้ แต่อย่างที่บอกไปว่าเส้นทางการทดสอบครั้งนี้มันสั้นไปหน่อยจึงอาจจะไม่ได้ลงลึกรายละเอียดการขับขี่มากนัก ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก็ยังไม่นิ่ง ออนโรดอยู่ที่ 10 – 11 กิโลเมตรต่อลิตร ออฟโรดก็อยู่ประมาน 9 กิโลเมตรต่อลิตร ในเรื่องของเทคโนโลยีต้องบอกเลยว่ามีมาให้เยอะมาก ก็ต้องลองไปเล่นกันดู สำหรับคนที่อยากลุยต้องการระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเอาไว้เที่ยวเอาไว้ลุยบุกป่าฝ่าดง ก็คงต้องกลั่นใจเอารุ่นท็อปเพราะเป็นรุ่นเดียวที่เป็น 4×4 ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ มีมาทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ได้แก่
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ไทเทเนียมพลัส 4×4 10AT: มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter 10 สปีด มอบพละกำลัง 210 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ราคาอยู่ที่ 1,854,000 บาท
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ไทเทเนียมพลัส 4×2 10AT: ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ SelectShift 10 สปีด ให้กำลัง 210 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ราคาอยู่ที่ 1,704,000 บาท
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ สปอร์ต 4×2 6AT: มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยวทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลัง 170 แรงม้า (PS) ที่ 3,500 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ราคาอยู่ที่ 1,464,000 บาท
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เทรนด์ 4×2 6AT: ผสานการทำงานของเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลัง 170 แรงม้า (PS) ที่ 3,500 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ราคาอยู่ที่ 1,334,000 บาท
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ มีทั้งหมด 6 สีให้เลือก ได้แก่ สีขาว สโนว์เฟลค ไวท์ เพิร์ล สีเงิน อลูมิเนียม เมทัลลิก สีดำ แอบโซลูท แบล็ก สีเทา เมทิออร์ เกรย์ สีน้ำตาล อีควิน็อกซ์ บรอนซ์ และสีส้ม เซโดนา ออเรนจ์ นอกจากนี้ รุ่นสปอร์ต ยังมาพร้อมสีพิเศษ สีน้ำเงิน บลู ไลท์นิ่ง สำหรับรุ่นไทเทเนียมพลัส ห้องโดยสารภายในเพิ่มตัวเลือกพิเศษสีครีมพราลีน โดยมีสีดำ อีโบนีเป็นสีมาตรฐาน ทุกรุ่นมาพร้อมการรับประกันคุณภาพรถใหม่จากโรงงานนาน 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะได้ถึงก่อน
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ ผลิตที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย (เอเอที) ในจังหวัดระยอง เพื่อจำหน่ายในประเทศ และส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ
ในกรณีที่ลูกค้ามีคำถามในการเลือกซื้อรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ หรือต้องการขอคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งานและฟีเจอร์ต่างๆ ในรถ ฟอร์ดมีบริการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ฟอร์ดผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งเว็บไซต์ www.ford.co.th หมายเลขคอลเซ็นเตอร์ โทร. 1383 และกล่องข้อความอัตโนมัติบนเฟซบุ๊กฟอร์ด และที่โชว์รูมฟอร์ดทั่วประเทศ ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป โดยฟอร์ดพร้อมส่งมอบรถให้แก่ลูกค้าตั้งแต่ช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2565 เป็นต้นไป
เรื่องโดย : V.SONGSAIKET