ตลาดรถยนต์เดือนพฤษภาคม 2564 ยอดขายรวมทั้งสิ้น 55,948 คัน เพิ่มขึ้น 38.4% ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 15,569 คัน เพิ่มขึ้น 32.7% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 40,379 คัน เพิ่มขึ้น 40.6% ขณะที่ รถกระบะขนาด 1 ตัน ในเซกเมนท์นี้ มีจำนวน 31,778 คัน เพิ่มขึ้น 37.3%
สำหรับ 10 อันดับค่ายรถยนต์ ที่ทำสถิติยอดขายรถยนต์สูงที่สุดในเดือนพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้น 55,174 คัน โดย 10 อับดับนี้จะมีค่ายไหนบ้างไปดูกันเลยค่ะ…
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนพฤษภาคม 2564 ของ 10 อันดับค่ายรถยนต์ | ||
แบรนด์ | ยอดขายเดือนพฤษภาคม 2564 | |
Toyota |
19,767 |
เพิ่มขึ้น 45.2% |
Isuzu |
14,866 | เพิ่มขึ้น 46.8% |
Honda |
4,998 | เพิ่มขึ้น 19.6% |
Mitsubishi |
3,392 |
เพิ่มขึ้น 22.6% |
Mazda |
2,805 | เพิ่มขึ้น 75.1% |
Ford |
2,704 | เพิ่มขึ้น 94.5% |
Nissan |
2,034 | ลดลง 23.8% |
MG |
2,032 | เพิ่มขึ้น 44.9% |
Suzuki |
1,574 | เพิ่มขึ้น 10.5% |
Hino |
1,002 | เพิ่มขึ้น 53.9% |
จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ยอดขายในตลาดรถยนต์เดือนพฤษภาคม 2564 มีปริมาณการขาย 55,948 คัน เพิ่มขึ้น 38.4% โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 32.7% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 40.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากข้อเสนอพิเศษที่หลากหลาย และกิจกรรมส่งเสริมการขายจากค่ายรถยนต์ที่มีการแข่งขันอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ส่งผลกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ตลอดจนการจัดการฉีดวัคซีน COVID-19 ของภาครัฐที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น คลายความวิตกกังวล และจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ผนวกกับการทยอยส่งมอบรถที่ลูกค้าจองในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่ผ่านมา เป็นปัจจัยเสริมที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
ตลาดรถยนต์ในเดือนมิถุนายนมีแนวโน้มชะลอตัว สืบเนื่องจากความกังวลต่อการระบาดของไวรัส COVID-19 มีแนวโน้มรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยการแพร่ระบาดในระลอกนี้มีความรุนแรงมากกว่าระลอกก่อน รวมถึงการตรวจพบผู้ติดเชื้อในคลัสเตอร์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ต้องชะลอ หรือเลื่อนกำหนดการออกไป ทั้งนี้ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจโดยรวม และทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดียังมีความหวังว่าสถานการณ์ต่างๆ จะฟื้นตัวดีขึ้นจากความพยายามของภาครัฐในการแก้ไขปัญหา ควบคู่ไปกับการดำเนินการฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับคนไทยครบ 50 ล้านคนภายในสิ้นปี ซึ่งจะก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม