fbpx

ทดลองขับ New Mitsubishi Xpander หล่อขึ้น เกียร์ใหม่ ช่วงล่างแน่น เทคโนโลยีมีให้แค่พอเพียง!

สวัสดีครับเพื่อนๆชาว ฅ.คนรักรถ และแฟนเพจ carvariety ทุกๆท่าน  อย่างที่เราได้บอกกันไปในบทความก่อนหน้านี้ว่าหากมีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจในแวดวงยานยนต์เราจะพามาอัพเดทกัน อย่างเช่นวันนี้เราจะพามาทดลองขับกับรถยนต์ที่พึ่งเปิดตัวกันไปสดๆร้อนๆในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา จากค่าย  Mitsubishi นั้นก็คือรถยนต์ที่มียอดขายมากที่สุดในกลุ่มตลาดรถประเภท Mini MPV 3 แถว 7 ที่นั่ง คือเจ้า  New Mitsubishi Xpander 2022 ซึ่งเป็นการ Facelift  ครั้งใหญ่เพราะได้มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมหลายจุดอยู่เหมือนกัน อย่ารีรอเราไปดูพร้อมๆกันเลยดีกว่าครับ 

มาเริ่มกันที่ภายนอกกันก่อนเลย ต้องบอกเลยว่าเปลี่ยนหลายจุดจริงๆเพราะได้มีการปรับลุคให้เรียบหรู ดูแพง ภูมิฐาน ดู เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่ารุ่นเดิม ดีไซน์ใหม่แบบ Advanced Dynamic Shield  พร้อมกระจังหน้าดีไซน์ใหม่แผงตะแกรงจาก เดิมเป็นสีโครเมียมได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นสีดำรับเข้ากับไฟหน้าใหม่ทรง T- Shape ที่ให้แสงสว่างมากกว่ารุ่นเดิมมากขึ้นถึง  20% แต่ยังไม่ได้เป็น LED นะยังคงใช้เป็นไฟหลอดแบบฮาโลเจนเหมือนเดิม (ส่วนตัวผมมองว่ายุคสมัยนี้ควรเป็น LED  ได้แล้ว)  ส่วนไฟหรี่นั้นก็ดีไซน์ใหม่เช่นกันเป็น  ขีดๆแบบ LED พร้อมแบ่งช่องให้ไฟเลี้ยวอยู่ด้านในด้วย แผงกันกระแทกหรือกันชนด้านล่างก็ได้มีเปลี่ยนดีไซน์ใหม่แต่ยังคงเอกลักษณ์ด้วยไฟตัดหมอกแบบหลอดฮาโลเจนเช่นเคย

ด้านหลังของ New Mitsubishi Xpander ก็ถูกปรับเปลี่ยนใหม่เช่นกัน ด้วยการออกแบบใหม่หมด ย้ำเลยนะครับว่าออกแบบใหม่หมดไล่ตั่งแต่ด้านบนจนถึงด้านล่าง พร้อมติดตั้งกันชนท้ายและแผ่นกันกระแทกแบบใหม่ดีไซน์แบบ 3 มิติให้ดูมีเหลี่ยมสันมากขึ้น เส้นสายชัดเจน ไฟท้ายก็มาในทรง T- Shape เช่นกัน ซึ่งทางมิสซูบิชิเรียกว่า LED-illumination Tube  พร้อมไฟเบรคดวงที่ 3 แบบ LED ที่ฝังอยู่ในสปอยเลอร์หลัง 

ในส่วนของด้านข้าง  New Mitsubishi Xpander  มาพร้อมกับล้อแม็กอัลลอยลายใหม่สีทูโทนขนาด 17 นิ้ว (จากเดิม 16 นิ้ว) พร้อมขนาดยาง 205/55/R17 ด้านหน้าเป็นระบบดิสก์เบรก ด้านหลังเป็นดรัมเบรก ด้วยที่ New Mitsubishi Xpander เปลี่ยนมาใช้ล้อแม็กขนาด 17 นิ้ว จึงทำให้รถมี Ground Clearance เพิ่มขึ้นเป็น 220 มม.  จากเดิม 215 มม.โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าการมาครั้งนี้ของ New Mitsubishi Xpander 2022 ในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกดูดี หล่อเหลา

เอาการสวยงามกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัดรวมถึงภายในก็น่าสนใจไม่น้อยได้มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมหลายจุดอยู่ เหมือนกันจะมีอะไรบ้างไปดูพร้อมกันเลยครับ  

ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบใหม่หมดแบบยกแดชบอร์ด โดยถูกเปลี่ยนให้เป็น Horizontal Axis เน้นเส้นเป็นแนวนอนทำให้ความรู้สึกกว้างขวาง โดยเลือกใช้สีทูโทน สีน้ำตาล/ดำ ตกแต่งด้วยวัสดุสังเคราะห์หุ่มเบาะนั่ง ที่พักแขน และแผงประตูข้างพร้อมเดินด้ายจริง  เบาะนั่งมาพร้อมคุณสมบัติกันความร้อนหรือ Heat Guard  พวงมาลัยก็ดีไซน์ใหม่เช่นกันเป็น ทรงสปอร์ทแบบ MultiFunction ที่ด้านซ้ายเป็นควบคุมระบบมัลติมีเดีย ด้านขวาเป็นปุ่ม Cruise Control   และพวงมาลัย ยังปรับได้ 4 ทิศ-ทาง พร้อมมาตรวัดการขับขี่แบบ High Contrast ดีไซน์ใหม่เรียบหร

เมื่อมองมาด้านซ้ายเราเห็นได้เลยว่าสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมนั้นก็คือจอมัลติมีเดียที่  รอบนี้ทางมิสซูนั้นได้ใส่มาให้ถึงขนาด 9 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อทุกรูปแบบรวมทั้ง Apple Car Play และ Android Auto ไล่ลงมาผ่านช่องแอร์เราก็เจอกับระบบปรับอากาศที่เปลี่ยนดีไซน์ใหม่หมดให้เป็นแบบดิจิตอลที่ดูดีทันสมัยมากขึ้นจากเดิม และยังได้ใส่ฟังค์ชั่น Max Cool ไว้เอาใจคนขี่ร้อนอีกด้วย แต่ระบบแอร์ยังไม่ได้เป็นแบบ Auto และไม่สามารถปรับอุณหภูมิแยกซ้าย-ขวาได้

และสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนอีกจุดหนึ่งคือเบรกมือที่เปลี่ยนจากคันโยกมาเป็นระบบเบรกมือควบคุมด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Brake Auto Hold ให้เป็นที่เรียบร้อย และอันนี้ผมชอบเป็นการบ่งบอกถึงการใส่ใจนอกจากจะมีช่องวางแก้วน้ำขนาดใหญ่ที่รองรับขวดน้ำได้ถึง 600 มล.แล้ว เมื่อเราเปิดที่ท้าวแขนขึ้นจะพบกับช่องใส่กระดาษทิชชู่ไว้ให้อีกด้วยเพื่อลดการเกะกะในการวางและเพิ่มความสะดวกสบายในการหยิบใช้งาน 

มากันที่ห้องผู้โดยสารแถวสองกันบ้าง ที่ครั้งนี้มาพร้อมกันสโลแกน ใหญ่ ยาว ขนยอะ แฮร่ ! ขนเยอะหมายถึงขนของได้เยอะนะอย่าพึ่งคิดไปไกลกัน อันนี้บอกเลยครับว่าจริงเพราะเจ้า Xpander ขึ้นชื่ออยู่แล้วในกลุ่มรถ Mini MPV 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่นั่งได้จริง ใหญ่จริง ขนของได้เยอะจริงและใช้งานได้จริง  ฉะนั้นเรื่องห้องโดยสายแถวสองนั่งสบายๆเหลือๆ พนักผิงสามารถปรับเอนและเลื่อนได้ มีช่องชาร์จไฟแถวสองมาให้แล้วสองช่องเป็น แบบ TypeA และ TypeC

และไม่ต้องกลัวร้อนเพราะเบาะแถวสองมีช่องแอร์ขนาดใหญ่ ที่ใช้เป็นคอยล์เย็นแยกกับด้านหน้าเท่ากับว่ารถคันนี้จะมีคอยล์เย็นสองตัวด้วยกันเย็นฉ่ำถึงเบาะแถวสามแน่นอน แต่การปรับความเย็นอุณหภูมินั้นต้องปรับจากด้านหน้าเท่านั้นแอร์ตอนหลังสามารถปรับได้เพียงความแรงของพัดลม เบาะแถวสองยังสามารถปรับได้เป็นแบบ 60 : 40 และ เป็นแบบ 40 : 20 : 40 ได้โดยส่วนที่ 20 นั้นก็คือที่พักแขนพร้อมช่องวางสองแก้วน้ำนั้นเอง โดยเบาะแถวสามจะเป็นการปรับแบบ 50 : 50 และทางมิสซูก็ได้เสริมช่องจ่ายกระแสไฟ DC ขนาด 12 โวลท์มาให้ด้วยเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารตอนหลังสุด

เราได้เห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมกันมาแล้วทั้งภายนอกภายใน คราวนี้มาว่าเรื่องการขับขี่กันบ้างโดยรถที่เราได้ทดสอบกันในวันนี้คือรุ่น Top สุด New Mitsubishi Xpander รุ่น GT ที่มาพร้อมกันเครื่องยนต์เบนซินขนาดเดิม DOHC MIVEC รหัส 4A91 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมระบบวาล์วแปรผัน แต่ได้มีปรับจูนระบบ EGR ใหม่ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติใหม่จากเดิมที่เป็นระบบเกียร์อัตโนมัติแบบธรรมดามาเป็นระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ EcoDynamic CVT ที่ทางมิสซูเคลมไว้ว่าเมื่อเปลี่ยนมาใช้เกียร์ระบบ CVT ใหม่แล้วทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นถึง 13% และทำความเร็ว 0- 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ดีกว่าเดิมถึง 2 วินาที จาก 15.4 วินาที  เป็น 13.4 วินาทีกันเลยทีเดียว 

โดยเส้นทางที่ได้ทดลองขับกันครั้งนี้จะเริ่มต้นสตาร์ทกันที่โรงแรม Eastin Grand Hotel Sathorn มุ่งหน้าสู่ อำเภอ      ปราณบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางราว 200 กิโลเมตร  โดยช่วงแรกผมนั่งเป็นผู้โดยสารก่อน เบาะผู้โดยสายนั่ง สบายมีปีก bucket seat ไว้โอบสรีระเพื่อเวลาเข้าโค้งจะได้ไม่โยนตัว เบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบปรับคันโยกปรับมือ เอน เดินหน้าถอยหลังได้ โดยจะสามารถปรับสูง-ต่ำ ได้เพียงตำแหน่งผู้ขับขี่  เมื่อเดินทางไปสักระยะหนึ่งก็ถึงเวลาที่ผมเป็นผู้ขับบ้างสัมผัสแรกเมื่อได้นั่งลงไปตำแหน่งผู้ขับขี่รู้สึกได้เลยว่าเบาะนั่งมีตำแหน่งสูงกว่าฝั่งผู้โดยสารแบบรู้สึกได้ ถึงแม้จะมีคันโยกไว้ปรับตำแหน่งสูง-ต่ำเมื่อลองปรับลงมาตำแหน่งต่ำสุดแล้ว ก็รู้สึกว่ายังสูงอยู่ดี คงถูกใจคนตัวเล็กๆแน่ๆแต่ถ้าคนตัวสูงๆ head room คงเหลือน้อย  แต่สำหรับผมเป็นผู้ชายไซส์กลางๆไม่ได้มีผลแต่อย่างไรอยู่ในตำแหน่งวิสัยทัศน์การขับขี่ที่ดี พร้อมแล้วก็ออกเดินทางต่อ 

ด้วยที่พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ทำให้รู้สึกว่าจับกระชับมือมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม อีกทั้งน้ำหนักพวงมาลัยส่วนตัวแล้วผมชอบ พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียนพร้อมระบบเพาเวอร์ควบคุมด้วยไฟฟ้า ควบคุมปรับน้ำหนักพวงมาลัยได้กำลังดีในความเร็วต่ำน้ำหนักเบาเพื่อลดการเมื่อยล้า ความเร็วสูงก็มีการหน่วงเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น  อีกทั้งยังแม่นยำอีกด้วยและที่สำคัญทางมิสซูได้ใส่ใจลูกค้าด้วยการปรับเช็ตพวงมาลัยเวลายูเทิร์นแล้วให้พวงมาลัยหมุนกลับมายันตำแหน่งเช็นเตอร์เองอัตโนมัติเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่  

มากันที่เครื่องยนต์กันบ้างครับ การขับขี่นั้นก็ต้องบอกเลยว่าทำออกมาได้ดีไม่ได้ขี้เหร่แต่อย่างไร ส่วนตัวผมชอบเจ้า Xpander  ตั่งแต่รุ่นเดิมอยู่แล้ว  ในรุ่นใหม่ก็ยังให้ความรู้สึกดีเช่นเคย ไม่ได้รู้สึกถึงความอืดอาดแต่ก็ไม่ได้หวือหวา ปรู๊ดปร๊าด กลับกันการตอบสนองดีกว่ารุ่นก่อนคงเป็นเพราะได้ใส่เกียร์ใหม่เป็น EcoDynamic CVT ทำให้เครื่องยนต์นั้น      สมูทมากขึ้น ถ้าหากรินคันเร่งนุ่มๆเรื่อยแบบผู้ดีจะไม่รู้สึกถึงรอยต่อของเกียร์ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่จุ่มคันเร่งหนักหรือคิกดาวน์เท่านั้นละ จะได้รับรู้ถึงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังเข้ามาในตัวรถและความสมูทในการขับขี่จะหายไปทันทีตามสไตล์ของเกียร์ CVT ในส่วนของการคิกดาวน์ก็ไม่ได้รอรอบมากนักถือว่ามาได้ทันใจเรียกใช้เร่งแซงอยู่ในเกณฑ์มั่นใจ แต่ถ้าในกรณีที่บรรจุผู้โดยการเต็มอัตราคงต้องมีเพื่อระยะกันหน่อย และถ้าหากใครที่ต้องการความสนุกสนานในการขับขี่มากขึ้นที่คันเกียร์ก็มีปุ่ม over drive มาไว้ให้ ในช่วง 80- 120 กม./ชม ถือว่าเป็นช่วงที่กำลังขับสนุกรถตอบสนองดี แต่ถ้าช่วง 120-160 กม./ชม การตอบสนองของเครื่องยนต์จะเริ่มไต่ความเร็วขึ้นช้า ระบบเบรกคอนโทรลได้ง่ายแม่นยำไม่มีหัวทิ่ม การเก็บเสียงลมถือว่าทำได้ดีเพราะได้มีการบุวัสดุซับเสียงรอบคันถ้าขับรถในความเร็วที่กฏหมายกำหนดบอกได้คำเดียวเลยว่าฟังเพลงสบายหู 

และอีกหนึ่งไฮท์ไลต์ของเจ้า New Mitsubishi Xpander  ที่มีการปรับเปลี่ยนใหม่ก็คือระบบช่วงล่าง ด้านหน้ายังคงเป็น แบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลงและเหล็กค้ำหัวโช๊ค ด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีม แต่ได้มีการเปลี่ยนโช๊คใหม่ไปใช้ขนาดเดียวกับรุ่นพี่ในค่ายอย่าง Mitsubishi Pajero แต่ได้มีการปรับเช็ตค่าที่ต่างกัน สปริงยังคงใช้เป็นของเดิม ขอให้คำนิยาม3คำเลยว่า ดี! แน่น! หนึบ!  ไม่มีย้วย ให้ความรู้สึกมั่นใจมากเวลาขับขี่ทั้งทางตรงและทางโค้ง ถ้ามีโอกาสอยากให้ไปลองว่าของเค้าดีจริง ในการทดสอบจะมีช่วงที่เป็นถนนรุกรังกึ่งๆออฟโรดนิดๆเพื่อทดลองในเรื่องของ  Ground Clearance  220 มม. ที่ผ่านพ้นอุปสรรคไปอย่างง่ายดาย รวมถึงช่วงล่างในทางออฟโรดก็ยังให้ความรู้สึกนุ่มนวลอีกด้วย

มากันที่อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงกันบ้างโดยจากโรงงานได้เคลมไว้ที่ 16.4 กิโลเมตร/ลิตร ขับใช้ถึงจริงแบบไม่ได้ปั้นตัวเลขแต่อย่างใด ระยะทางรวมกว่า 200 กิโลเมตร ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 15.5 – 16.0 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับที่โรงงานเคลมไว้ ส่วนตัวตรงนี้ผมแฮปปี้ถ้าบรรทุกผู้โดยสารหรือโหลดน้ำหนักเยอะๆตัวเลขกันจะลดหลั่นกันไป โดยถังน้ำมันมีขนาด 45 ลิตร สามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลงได้ต่ำสุด E20  

ในเรื่องระบบความปลอดภัยอาจจะขัดใจใครหลายๆคนอยู่เหมือนกันมีมาให้แบบพอเพียง คุ่มค่ามากน้อยแค่ไหนเดี๋ยวไปสรุปกันที่ราคา 

  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 
  • กล้องมองภาพด้านหลัง ขณะถอยจอด
  • ระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อรถมีความเร็วเกิน 15 กม. / ชม.
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวในสภาวะที่รถเสียสมดุล ACTIVE STABILITY CONTROL (ASC
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TRACTION CONTROL SYSTEM (TCL
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HILL START ASSIST (HSA
  • ระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อก ANTILOCK BRAKING SYSTEM (ABS
  • ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ ELECTRONIC BRAKE FORCE DISTRIBUTION (EBD)  
  • ระบบเสริมแรงเบรกจะทำงานทันทีที่เหยียบเบรกกะทันหัน BRAKE ASSIST (BA)  
  • ระบบไฟนําทางหลังดับเครื่องยนต์ COMING HOME LIGHT
  • ระบบไฟสว่างอัตโนมัติเมื่อปลดล็อก WELCOME LIGHT  
  • ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ EMERGENCY STOP SIGNAL SYSTEMESS  
  • ระบบล็อกควบคุมความเร็วอัตโนมัติบนพวงมาลัย Cruise Control

ถ้าให้สรุปเกี่ยวกับการทดลองขับ New Mitsubishi Xpander  2022 ครั้งนี้ก็ต้องว่าเป็นรถ Mini MPV ทั้ง 3 แถว 7 ที่นั่ง เหมาะสำหรับกลุ่มครอบครัวที่ใช้งานในเมืองก็ดี ท่องเที่ยวต่างจังหวัดก็ได้จะกางเต้นท์ แคมป์ปิ้ง แบกจักรยานก็ถือว่าตอบโจทย์แต่คงไม่ได้ถึงกับว่าเป็นสายลุยตัวจริง ถ้าสายลุยคงต้องขยับไปเล่นพี่ใหญ่อย่าง Mitsubishi Pajero จะตอบโจทย์กว่า  เรียนตามตรงว่าเราไม่ได้ทดลองความอเนกประสงค์ทั้งหมดของรถ Mini MPV ทั้ง 3 แถว 7 ที่นั่งคันนี้ รวมไปถึงการขับขี่ครั้งก็อยู่กันบนรถเพียงสองคน  ถ้าหากบรรทุกผู้โดยสารเต็มพิกัด ในเรื่องของอัตราเร่งรวมถึงช่วงล่างคงมีการเปลี่ยนไปตามน้ำหนัก  ในเรื่องความเร็ว 0- 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่เค้าเคลมไว้ว่าเร็วเดิม 2 วินาที เป็น 13.4 วินาที เราก็ไม่ได้ลองกันแต่เครื่องยนต์ตอบสนองดีกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด ยังไงแล้วสำหรับใครที่สนใจก็ลอง ชั่งน้ำหนักความคุ่มค่ากันดูกับราคาค่าตัว New Mitsubishi Xpander GLSLimited ราคา 799,000 บาท เพิ่มจากเดิมมา 10,000 บาท และรุ่นที่ทดลองขับกันวันนี้ New Mitsubishi Xpander GT ราคา 895,000 บาท เพิ่มจากเดิมมา 32,000 บาท  

ส่วนตัวแล้วผมมองว่าเพิ่มราคามา 32,000 บาทถ้านับดีๆก็ได้อะไรเพิ่มเติมมาหลายอย่างอยู่เหมือนกันแต่ติดนิดเดียวควรใส่เทคโนโลยีความปลอดภัยมาให้มากกว่านี้หน่อยเพราะทางค่ายคู่แข่ง รถกลุ่มประเภทเดียวกันในตลาดที่พึ่งเปิดตัวกันไป ได้ให้เทคโนโลยีมาอย่างท่วมท้น แต่ทางด้านการขับขี่เค้าอาจจะเป็นรอง New Mitsubishi Xpander ในกลุ่มรถ Mini MPV ผมให้ Xpander ขับดีสุด เรียกได้ว่ามีดีมีเสียกันคนละแบบ ยังไงแล้วถ้ามีโอกาสก็ไปทดลองขับกันดูทีโชว์รูมมิสซูมิสซิทั่วประเทศ ทั้งหมดทั้งมวลนนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้นนะครับ ใครจะชอบรุ่นไหนค่ายใครไหนก็ไปทดลองขับหรือสัมผัสกันดู ตัวคุณเองเท่านั้นที่จะตอบได้ว่าแบบไหนที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และการใช้งานในรูปแบบของคุณ แล้วพบกับใหม่บทความหน้าเราจะมีเรื่องราวดีๆอะไรในแวดวงยานยนต์มาอัพเดทกันแล้วเจอกันครับ

บทความที่น่าสนใจ

ลองขับ ตัวเป็นๆ นิสสัน เทอร์รา Ver.ฟิลิปปินส์ มีดีเกินตัวน่ะ

idiot

[ทดลองขับ] Honda Civic ใหม่ เสริมระบบความปลอดภัยขึ้นอีกขั้น

Peng

รีวิว Haval H6 PHEV (Plug in Hybrid) แรง ล้ำ โหมดไฟฟ้าใช้ได้จริง แต่ช่วงล่างยังต้องปรับ!!

Nopkung

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy