ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่เริ่มมองหาวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อให้บริษัทสามารถทำกำไรได้สูงสุด ยกตัวอย่างเช่น Nissan สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ถึงร้อยละ 20 ในอเมริกาเหนือ ในขณะที่ Ford เองก็มีการวางแผนเปลี่ยนแปลง “ครั้งใหญ่” สำหรับตลาดยุโรปและอเมริกาใต้ อย่างไรก็ตามได้มีการศึกษาหนึ่งชี้ให้เห็นว่า ตัวเลขของการผลิตขนาดใหญ่และผลกำไร อาจไม่ใช่สิ่งที่อยู่ควบคู่กันเสมอไป
ผลการศึกษาของศาสตราจารย์ Ferdinand Dudenhoffer แห่งมหาวิทยาลัยดุ๊ยส์บวร์กในประเทศเยอรมนี เปิดเผยว่า Ferrari เป็นแบรนด์ที่มีกำไรมากที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี
ผู้ผลิตซูเปอร์คาร์จากอิตาลี สามารถทำกำไรได้จากการจำหน่ายรถยนต์ต่อคันอยู่ที่ 80,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.66 ล้านบาท ในขณะที่ Jaguar Land Rover สามารถทำกำไรได้เพียง 927 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 3 หมื่นบาทต่อคันเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์ระดับพรีเมียมของเยอรมัน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า Porsche สามารถทำกำไรทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz, BMW และ Audi ได้เกือบสองเท่า โดยทาง Porsche มีผลกำไรอยู่ที่ 19,715 เหรียญสหรัฐฯ ฯ หรือประมาณ 6.5 แสนบาท ขณะที่ 3 ค่ายชั้นนำมีผลกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 10,500 เหรียญสหรัฐฯ ฯ หรือประมาณ 3.4 แสนบาท
ทั้งนี้ตัวเลขจากผลการศึกษาดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่า Ferrari และ Porsche มีผลกำไรไม่เปลี่ยนแปลงมากนักหากเทียบกับเดือนมีนาคมปี 2017 โดยสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า Ferrari มีกำไร 80,000 เหรียญสหรัฐฯ และ Porsche มีกำไรเกือบ 17,000 เหรียญสหรัฐฯ?ต่อการขายรถยนต์ 1 คัน