Maserati GranTurismo (มาเซราติ กรันทูริสโม) โฉมใหม่ ได้รับการเปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการในไทย นับเป็นการเปิดตำนานบทใหม่ ที่เริ่มขึ้นจาก Maserati A6 1500 เมื่อ 77 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นยนตรกรรมสไตล์ GT ที่เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของสมรรถนะแบบรถสปอร์ต เข้ากับความสะดวกสบายเพื่อรองรับการขับทางไกล พร้อมเปิดรับจองทั้ง 3 รุ่นย่อย คือ โมเดนา (Modena), โทรเฟโอ (Trofeo) และสุดยอดนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่น โฟลกอเร (Folgore) ที่แปลว่าสายฟ้าในภาษาอิตาเลียน ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The Others Just Travel’ ที่มอบประสบการณ์พิเศษ มากกว่าคำว่าการเดินทาง
ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับ Maserati GranTurismo โฉมใหม่
- รุ่น Modena เริ่มต้น 14,500,000 บาท
- รุ่น Trofeo เริ่มต้น 16,900,000 บาท
- รุ่น Folgore เริ่มต้น 12,900,000 บาท
งานดีไซน์ของ GranTurismo โฉมใหม่ นำเสนอความสง่างามและสมรรถนะเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใคร และสามารถจดจำได้ในทันที เส้นสายดูเรียบง่ายแต่ชัดเจน ผสานประสิทธิภาพการขับเคลื่อนที่ดีสุดในเซกเมนต์ สะท้อนตัวตนและความพิถีพิถันในการออกแบบ ขณะเดียวกันก็สามารถรักษาสัดส่วนอันเป็นเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างครบถ้วน ด้วยฝากระโปรงหน้าทรงยาวและตำแหน่งผู้ขับที่อยู่กึ่งกลางระหว่างล้อทั้ง 4 พร้อมหลังคาลาดต่ำสู่ด้านหลัง เน้นให้เห็นความโค้งมนของเสาซี ที่มีโลโก้ตรีศูลติดตั้งอยู่
ห้องโดยสารติดตั้งระบบมัลติมีเดีย Maserati Intelligent Assistant (MIA), อินโฟเทนเมนท์ใหม่ล่าสุด, หน้าจอ comfort display ที่รวมฟังก์ชั่นหลักของทัชสกรีนอเนกประสงค์, นาฬิกาดิจิทัลอัจฉริยะ (Digital Smart Clock) และเฮด-อัพ ดิสเพลย์ (เป็นออปชั่น) นอกจากนี้ยังมอบประสบการณ์พิเศษแบบ ‘all-round sound experience’ การันตีด้วยสุ้มเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของ Maserati รวมทั้งเวอร์ชั่นรถไฟฟ้า อันเกิดจากฝีมือการพัฒนาของวิศวกรจาก Maserati Innovation Lab มอบประสบการณ์สมบูรณ์แบบผ่านระบบเครื่องเสียง Maserati Sound Audio System และมีออปชั่นพิเศษกับสุดยอดเครื่องเสียงสัญชาติอิตาลี ‘Sonus Faber’ ลำโพง 12 ตำแหน่ง และ 19 ตำแหน่งให้เลือก
ขุมพลังเบนซิน V6 Nettuno ความจุ 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ บล็อกเดียวกับที่ใช้ในซูเปอร์คาร์รุ่น MC20 ติดตั้งใน 2 รุ่นย่อย คือ Modena ทำได้ 490 แรงม้า (HP) แรงบิด 600 นิวตันเมตร และ Trofeo ที่ผ่านการอัพเกรดเพิ่มกำลังเป็น 550 แรงม้า (HP) แรงบิด 650 นิวตันเมตร
ขณะที่รุ่น GranTurismo Folgore ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ส่งกำลังผ่านมอเตอร์ 402 แรงม้า (HP) จำนวน 3 ตัว (หน้า 1 หลัง 2) ผสานเทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ ความจุ 92.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เทคโนโลยีของรถแข่ง Formula E ติดตั้งแบตเตอรี่ไว้บริเวณโครงสร้างกลางรถ (T-Bone) แทนที่การติดตั้งไว้ใต้เบาะผู้ขับ ส่งผลดีต่อสมดุลและจุดศูนย์ถ่วงของรถ ทำได้ 761 แรงม้า (HP) แรงบิด 1,350 นิวตันเมตร
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความเร็วสูงสุด
- รุ่น Modena ทำได้ภายใน 3.9 วินาที และ 302 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รุ่น Trofeo ทำได้ภายใน 3.5 วินาที และ 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- รุ่น Folgore ทำได้ภายใน 2.7 วินาที และ 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
มาพร้อม 3 โหมดการขับ คือ GT, Comfort และ Sport ขณะที่รุ่น Trofeo เพิ่มโหมด Corsa ส่วนรุ่น Folgore มี 4 โหมด คือ GT, Max Range, Sport และ Corsa
สถาปัตยกรรมเชิงเทคนิคของรถรุ่นใหม่นี้ คือ ผลลัพธ์ของนวัตกรรมในการนำวัสดุที่เบาที่สุดมาใช้เช่น การใช้อะลูมิเนียมหรือแมกนีเซียม ร่วมกับโลหะเกรดสูง เพื่อให้ได้มาซึ่งวัสดุที่เบาและมีประสิทธิภาพชั้นเลิศ นอกจากนั้นก็ยังมีระบบอิเล็กทรอนิกส์ Atlantis High อันล้ำสมัย ภายใต้มาตรฐาน canFD ที่มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้เร็วสุดถึง 0.002 วินาที มาพร้อมระบบ cyber-security ระดับ 5 และฟีเจอร์ flash-over-the-air และศูนย์กลางในการควบคุมระบบ Vehicle Domain Control Module (VDCM) ประกอบไปด้วยซอฟต์แวร์ที่พร้อมมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับ ในการควบคุมระบบที่สำคัญทั้งหมดของรถยนต์แบบ 360 องศา เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีทีสุดในทุกสถานการณ์