ฝนลับลา..ลมหนาวเริ่มพัดโชย ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ได้เชิญสื่อมวลชน ออกทริปต้อนรับเปิดประเทศด้วยการขับรถท่องท่องเที่ยวรับลมหนาว เส้นทางกรุงเทพฯ – เขาใหญ่ โดยรถที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้ไม่ใช่รถโมเดลใหม่แต่อย่างไร แต่ก็เป็นรถอเนกประสงค์ที่เปิดตัวมาก็ได้รับความสนใจไม่น้อย นั้นก็คือเจ้า SUZUKI XL7 นั้นเอง โดยก่อนจะเดินทางทีมงานทุกคนและสื่อมวลชนทุกท่าน ต้องได้รับการ สวอปตรวจ ATK ก่อน เมื่อผลออกมาเป็นลบถึงจะได้เข้าร่วมกิจกรรม (พักนี้ก็โดนแยงกันบ่อยๆ ) รอผลเป็น 15 นาที ผลเป็นลบลุยด้วยต่อได้
ก่อนจะล้อหมุนกันเรามาดูภายนอกกันแบบคร่าวๆกันหน่อย เจ้า SUZUKI XL7 เป็นรถอเนกประสงค์ Crossover แบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่มากับนิยาม คิดได้เกินคาด ไปได้เกินใคร ไฟหน้าที่ให้มานั้นเป็นแบบ LED พร้อม Daytime Runing Light รับเข้ากับกระจังหน้าสีดำคาดด้วยโครเมียมดีไซน์เข้มพร้อมโลโก้ซูซูกิ ถัดลงมาด้านล่างก็มีไฟตัดหมอกมาให้ที่ตกแต่งรอบๆด้วยพลาสติกสีดำใกล้ๆกันบริเวณชายล่างกันชนหน้าก็ตัดด้วยพลาสติกสีบรอนรอบคัน ในส่วนด้านข้างของตัวรถยนต์ SUZUKI XL7 มากับล้ออะลูมิเนียมอัลลอยแบบทูโทนขอบ 16 นิ้ว จับคู่กับยาง 195/60/R16 พร้อมซุ้มล้อสีดำ มือเปิดประตูรถเป็นแบบโครเมี่ยมพร้อมปุ่มเปิด-ปิดล็อครถแบบ keyless entry ด้านบนมีราวหลังคามาให้สำหรับสายแบกที่รองรับน้ำหนักได้ถึง 50 กิโลกรัม มาต่อกันที่ด้านหลังรถกันบ้าง ไฟท้าย LED แบบ light guides โดยมีกล้องมองหลังติดมาให้เรียบร้อย และอีกจุดเด่นหนึ่งของ SUZUKI XL7 คือเรื่องของความสูงใต้ท้องรถ หรือ ground clearance ที่สูง 200 มม. ซึ่งวันนี้เราจะได้ทดสอบกัน
ได้เวลาออกเดินทางกันแล้วโดยเริ่ม สตาร์ทจาก โรงแรม บันยันทรี สาทร มุ่งหน้าสู่เขาใหญ่ โดนช่วงแรกผมขอเป็น ผู้โดยสารก่อนต้องบอกเลยว่าห้องโดยสารแถวสองนั้นกว้างขวางมากนั่งสบาย เบาะนุ่ม สามารถปรับเลื่อนได้และปรับ ระดับพนักพิงเอนหลังได้ สะดวกสบายไปอีก Head room กับ Leg room นั้นเหลือๆ และอีกเรื่องหนึ่งที่หลายๆคนคงกังวล ใจว่ารถประเภท 3 แถว 7 ที่นั่งนั้นจะร้อนไหม แอร์จะถึงไหม? ตอบตรงนี้เลยครับว่าถึง เพราะ SUZUKI XL7 มีช่องลมแอร์แถวสองมาให้ที่สามารถปรับความแรงมาพัดลมได้ บอกได้คำเดียวเลยครับว่า ฉ่ำ!ทุกตำแหน่ง แต่ผมขอเสนอเพิ่มเติมในความรู้สึกส่วนตัวของผมนะครับ ถ้าเบาะแถวสองมีที่ท้าวแขนมาให้จะดีมากเลยจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการนั่งได้อีกและเพิ่มช่องชาร์จสำรองแบบ USB สัก 2 ช่อง จะแจ่มมาก แต่เค้าก็มีให้นะแต่ เป็นแบบช่องจ่ายไฟ 12 v เราต้องหาหัวแปลงมาเอง เกือบลืมบอกเบาะนั่งแถวสองสามารถพับได้แบบ 60 : 40 และแถวสามแบบ 50 : 50 ที่มาของคำว่าอเนกประสงค์อย่างแท้จริง (ในส่วนเบาะแถว 3 ผมไม่ได้ไปลองนั่งนะ)
จากผู้โดยสารมาเป็นผู้ขับกันบ้าง SUZUKI XL7 ถูกออกแบบภายในใช้โทนสีดำตัดด้วยคิ้วโครเมียมพร้อมตกแต่งด้วย Carbon Fiber ที่ทำอออกมาได้อย่างลงตัว พวงมาลัยเป็นทรง D – Shape ปรับได้สองทิศทาง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่อง เสียงและสั่งการโทรศัพท์ (ไม่มี Cruise Control ) เบาะนั่งเป็นแบบคันโยกสามารถสูง-ต่ำได้ มาตรวัดเรือนไมล์ แบบอนาล็อกพร้อมจอ LED แสดงข้อมูลการขับขี่ Driving G-force และที่สะดุดตาที่สุดก็เห็นจะเป็นจอกลางแบบทัซสกรีนขนาด 10 นิ้ว ที่รองรับทั้ง Apple CarPlay และ android auto รองรับทั้ง Bluetooth , USB และ HDMI อีกทั้งใส่ลำโพงมาให้ถึง 6 ตัว ซึ่งให้รายละเอียดเสียงทีดี ระบบปรับอากาศเป็นแบบออโต้ มีช่องวางแก้วน้ำให้ 8 ตำแหน่ง โดยสองช่องกลางบริเวณคอน โซนมีช่องเป่าลมเย็นให้ด้วย ใกล้ๆกันมีช่องสำรองไฟ 12v ท้าวแขนสามารถปรับเลื่อนเดินหน้า-ถอย หลังได้ แต่!มีขนาดเล็กเปิดออกมาก็จะเป็นช่องเก็บของ กระจกมองหลังเป็นแบบธรรมดานะยังไม่เป็นตัดแสง
มากันที่การขับขี่กันบ้างเจ้า SUZUKI XL7 มากับเครื่องยนต์เบนซิน รหัส K15B 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ แบบ ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ (ไม่ใช่เกียร์ CVT) ซึ่งเป็นเครื่องบ็อกเดียวกับ SUZUKI ERTIGA แต่ได้มีการปรับจูนกล่อง ECU ใหม่
โดยเส้นทางที่ใช้ทดสอบในครั้งนี้แบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงแรกเป็นถนนแบบออนโรด บอกเลยว่าตอนแรกแอบคิดว่ารถจะอืดไหม เพราะด้วยตัวรถที่ดูมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องยนต์อีกทั้งยังมีผู้โดยสายทั้งหมดภายในรถถึง 4 คน แต่ผลออกมาเครื่องยนต์กับออกสนองได้ดีเกินคาดสามารถเรียกอัตราเร่งได้ดีตลอดทั้งช่วง อีกทั้งคันเกียร์ยังมีปุ่ม Over Drive มาให้เพื่อเรียกรอบการใช้งานได้อย่างทันใจ การใช้คิกดาวน์ในช่วงลอยตัวต้องอาศัยการคุ่นชินกับรถสักนิด มีการรอรอบเล็กน้อย อยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไปไม่รอใจหายแน่นอน
แต่ต้องเรียนตามตรงว่าในช่วงที่ใช้รอบสูง เสียงเครื่องยนต์ค่อนข้างดังเข้าห้องโดยสายอยู่เหมือนกันจนบางทียังแอบสงสาร พวงมาลัยเป็นพาวเวอร์ไฟฟ้า แร็คแอนด์พิเนี่ยน น้ำหนักพวงมาลัยดีไม่เบาไม่หนักเกินไปแม่นยำ มุดได้อย่างคล่องตัว SUZUKI XL7 มากับช่วงล่างด้านหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมคอยล์สปริง ด้านหลังเป็น ทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริง ส่วนผมรู้สึกว่าช่วงล่างเช็ตออกมาได้ดีนะ ออกหนักไปทางแข็งนิดหน่อย แต่ไม่กระด้าง กระชับ เพราะเป็นรถ 3 แถว 7 ที่นั่ง หากตอนบรรทุกผู้โดยสารเต็มพิกัด 6-7 ที่นั่ง + สำภาระ ออกไปท่องเที่ยวกับครอบครัวก็มั่นใจได้เลยว่าช่วงย้วยหรือหยวบหยาบแน่นอน ระบบเบรกยังเป็นหน้าดิส์เบรก หลังดรัมเบรก เอาอยู่สบาย
เส้นทางช่วงที่สองเป็นถนนรุกรังแบบออฟโรดนิดๆเพื่อทดสอบในเรื่องของความสูงใต้ท้องรถ หรือ ground clearance ที่ความสูงจากพื่นอยู่ที่ 200 มม. จึงทำให้ SUZUKI XL7 เป็นรถ Crossover อเนกประสงค์ที่มีทัศนวิสัยที่ดี สามารถใช้ลุยได้ในระดับหนึ่งจนรถเก๋งต้องอิจฉา
ระบบความปลอดภัย All New Suzuki XL7
- ระบบถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า
- เบรกหน้ามากับดิสก์เบรก ด้านหลังเป็นดรัมเบรก
- ระบบเบรก ABS ระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรก
- ระบบ ESP ที่ช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว
- ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HDC) และมีจุดยึดเบาะนั่งนิรภัย ISOFIX และ Top tether สำหรับเด็ก
- กล้องมองภาพขณะถอยหลังและเซ็นเซอร์กะระยะ
ถ้าให้สรุปกับการทดลองขับครั้งนี้ของ SUZUKI XL7 บอกเลยว่าส่วนตัวผมชอบนะ เพราะทุนเดิมผมเป็นคนประเภทสาย ลุยพวกบ้าหอบฟางอยู่แล้ว พอเจอรถประเภท อเนกประสงค์ Crossover ที่ลุยได้ถึงจะไม่ได้มากนักแต่เรื่องขนของได้เยอะนี้ต้องยกให้เค้าเลยตอบโจทย์สายแคมป์ปื้งที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้ สรุปเลยนะ การเดินทางไป – กลับ กรุงเทพ – เขาใหญ่ ในวันนี้ระยะทางรวมกว่า 400 กิโลเมตร เครื่องยนต์ตอบสนองดี อัตราเร่งเรียกใช้ทันใจ การขับครั้งนี้ถ้าไม่นับช่วงถนนออฟโรดหรือในเมือง ความเร็วอยู่ประมาณ 120 กม/ชม เกือบตลอดทั้งทางบางช่วงไหลไปยัน 160 กม/ซม ก็มี อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 14.7 กิโลเมตร / ลิตร ถือว่าโอเคเลยนะสำหรับผม ถ้าขับช้ากว่านี้ตัวเลข 16 มีให้เห็นแน่นอน
ส่วนตัวผมนะสำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์คันแรกอยู่ที่ใช้ในเมืองก็ดีออกต่างจังหวัดก็ได้ ถ้ามีครอบครัวมีลูก ลูกก็นั่งสบาย SUZUKI XL7 อาจคือคำตอบ นี้ก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ สำหรับใครที่สนใจก็สามารถไปทดลองขับกันได้ที่ โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ
SUZUKI XL7 มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีส้ม Rising Orange Pearl Metallic , สีเทา Metallic Magma Gray , สีขาว Pearl Snow White (สีขาวเพิ่ม 5,000 บาท) และสีดำ Cool Black Metallic มีให้เลือกเพียงรุ่นเดียว ราคาไม่สูงเกินเอื้อม 779,000 บาท คุ้มไม่คุ่มอยู่ที่วัถตุประสงค์ของการใช้งาน ถ้าชอบไม่มีคำว่าแพงแน่นอนครับ
เรื่องโดย : V.SONGSAIKET