นิสสัน นาวาร่า MY17 จอดเเรียงรายเด่นตระหง่านอยู่ด้านหน้า โชว์รูม สยาม นิสสัน เชียงใหม่ หนึ่งในตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ที่แข็งแรงแห่งหนึ่งของ นิสสัน ที่วันนี้ เป็นเจ้าภาพในฐานะเจ้าของบ้าน สำหรับการปล่อยตัวคาราวาน รถนิสสัน นาวร่า และเอสยูวี นิสสัน X-Trail เพื่อปีนป่ายเขาขึ้นสู่ม่อนเงาะ ภายใต้โครงการ แค่ใจก็เพียงพอ ตามพ่อที่พอเพียง
เส้นทางในทริปนี้ เราเน้นเส้นทางขึ้น-ลง เขาเป็นหลัก ดังนั้นรถที่ใช้ต้องมั่นใจได้ว่า พละกำลังต้องเหลือพอที่จะขนทั้งคนและของ ไปยังที่หมายได้อย่างปลอดภัย
การทดลองขับครั้งนี้ มาในแบบท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเป็นส่วนหนึ่งของภายใต้โครงการ แค่ใจก็เพียงพอ ตามพ่อที่พอเพียง ของนิสสันซึ่งมุ่งตามรอยบุคคลต้นแบบที่ได้แรงบันดาลใจจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา-ภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9
ผมเองนั้น ใช้ นิสสัน นาวาร่า MY17 ดับเบิลแคป คาร์ลิเบอร์ รุ่น V (Navara Double Cab Calibre V 7AT) หรือรุ่น 4 ประตู ขับเคลื่อน 2 ล้อ ยกสูง มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ราคา 940,500 บาท ซึ่งเป็นตัวท็อปของรุ่นขับ 2 ยกสูง ซึ่งดูหล่อเหลาเอาการไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า LED พร้อมไฟเดย์ไทม์ รันนิ่ง พร้อมชุดแต่งรอบคัน เรียกว่า หล่อล่ำ เลยทีเดียว
ส่วนเครื่องยนต์เป็นเครื่องดีเซล 2.5 ลิตร คอมมอนเรล 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VGS เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ พลังแรงสูงสุด 163 แรงม้า แต่ถ้าเป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อแรงม้าจะสูงถึง 190 แรงม้า มากที่สุดในบรรดารถกระบะเมืองไทย
เอาเป็นว่าในส่วนของตัวรถนั้น ผ่าน แน่นอนกับการเดินทางในทริปนี้ เมื่อกระโดดขึ้นมาในห้องโดยสารก็พบกับความกว้างขวางของห้องโดยสารภายใน ที่บอกเลยว่า นาวาร่า เป็นรถกระบะที่นั่งสบายทั้งบาะนั่งตอนหน้าและตอนหลังเลยทีเดียว โดยเฉพาะเบาะหนังของ นาวารา นี้ทั้งสวยและนุ่มจริงๆ
เบาะผู้โดยสารตอนหลังนั่งสบายใช้ได้ เหมาะกับการเดินทางไกล แต่ไม่มีที่พักแขนตรงกลางน่าเสียดาย มีที่วางแก้วน้ำ 2 ช่องอยู่ตรงที่วางเท้าระหว่างผู้โดยสารหลัง ซ้ายและขวา ซึ่งผมว่าไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไหร่กับตำแหน่งที่วางแก้ว มีช่องแอร์แถวหลังมาให้ แต่ไม่มีช่องเสียบ USB แต่มีช่อง Power Outlet ตรงกล่องใส่ของตรงกลางระหว่างผู้โดยสารตอนหน้า มาให้แทน
ย้ายกลับมาที่ผู้โดยสารตอนหน้ากันบ้าง ตำแหน่งเบาะนั่งอยู่ในมุมที่พอดี นั่งแล้วไม่เมื่อยอะไรมากมายเมื่อต้องขับทางไกลๆ แผงหน้าปัด มองง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น หน้าจอเครื่องเสียงมัลติมีเดีย พร้อมระบบนำทาง มีมาให้ครบถ้วน
แต่สิ่งที่เด่นที่สุดใน นาวาร่า MY18 นี้ก็คือ ฟังก์ชั่น กล้องมองรอบคัน (AVM) ซึ่งนิสสันเป็นค่ายรถกระบะเจ้าแรกในเมืองไทยที่ติดตั้งระบบนี้มาให้กับลูกค้า โดยการทำงานของกล้องมองรอบคันนี้ ทำให้เราขับรถกระบะได้ง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าจอด ในที่แคบๆ ซึ่งฟังก์ชั่น AVM นั้นเป็นฟังก์ชั่นเดียวกับที่มีใน นิสสัน X-Trail และ นิสสัน โน้ต
แต่น่าเสียดายที่ หน้าจอแสดงผล AVM นั้นแสดงอยู่บนกระจกมองหลัง ซึ่งผมว่าขนาดของจอบนกระจกมองหลังนี้ ค่อนข้างจะเล็กเกินไปเมื่อต้องใช้งานจริง ผู้ขับต้องชะโงกหน้ามาใกล้ๆ กระจกมองหลังเพื่อมองมุมรอบรถให้ชัดๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่น้อยกับฟังก์ชั่นดีๆ แต่มาตกม้าตายตอนจบแบบนี้
การเดินทางเริ่มขึ้นแบบไม่รีบร้อน โดยเป้าหมายแรกที่เราจะไปคือ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กดอยม่อนเงาะ ซึ่งชื่อของศูนย์ฯแห่งนี้ก็บอกอยู่แล้วว่าอยู่บน ม่อนเงาะ ที่ต้องขับรถขึ้นเขาสูงชันแถมถนนแคบนิดเดียว งานนี้เลยไม่ใช่การขับแบบ ชิลชิล อย่างที่คิดแลัว
ช่วงแรกเถนนหนทางยังไปแบบสบายๆ เครื่องยนต์ 2.5 ลิตรเทอร์โบ 163 แรงม้าทำงานได้ดีครับ เร่งแซงได้สบายๆไม่มีปัญหา แต่ต้องรอดูจังหวะของรถหน่อยนะครับ ช่วงล่างไม่กระด้างอย่างที่ผมคิด มันนุ่มพอสมควรเลยครับ อย่างนี้ขับสบายเลย เหมาะจะเป็นรถสำหรับครอบครัวได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเน้นการใช้งานเฉพาะบรรทุกของอีกต่อไปแล้ว เดินทางก็ได้สบายๆ
และเมื่อถึงช่วงที่ต้องขึ้นทางลาดชัน ก็ขอพิสูจน์พละกำลังเจ้านาวาร่า คันนี้เสียหน่อย ซึ่งก็ไม่มีปัญหาครับกับทางขึ้นเชาชันๆ นาวาร่า คันนี้พาไปได้แน่นอน แต่อาจจะต้องมีการเปลี่ยนเกียร์ช่วยกันบ้าง หากเจอทางที่ชันจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่า พละกำลังและแรงบิดของ นาวาร่า MY18 นี้เหลือเฟือใช้ได้เลย
นอกจากเรื่องพละกำลังของเครื่องยนต์แล้ว ระบบช่วยขับบนทางลาดชันทั้ง ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) และระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) ทำให้การขับง่ายขึ้น แถมปลอดภัยมากขึ้นอีกมากด้วย
เราใช้เวลาในการขับประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็มาถึง ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กดอยม่อนเงาะ ทั้งตั้งอยู่บนยอดม่อนเงาะซึ่งการเดินทางลำบากแน่ และถ้าเป็นช่วงฤดูฝนละก็ไม่อยากนึกสภาพเลยครับว่าเส้นทางจะเลวร้ายแค่ไหน
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กดอยม่อนเงาะ นี้เป็นศูนย์ที่ไม่แสวงหากำไร มีครูประจำ 2 ท่าน ดูแลเด็กเล็ก 21 คน โดยเด็กที่นี่จะอยู่ในระดับอนุบาล 1 ถึงอนุบาล 3 เท่านั้น ซึ่ง นิสสัน ได้ขนสิ่งของและอุปกรณ์การเรียนมาเต็มหลังรถกระบะนาวาร่า เพื่อนำมามอบให้กับศูนย์ฯแห่งนี้ ได้นำไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด และเมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ และคุณครู ที่ได้รับของเหล่านี้ รู้เลยครับว่า มันมีค่ากับพสกเขามากแค่ไหน
เสร็จภารกิจที่ศูนย์ฯ แล้ว เป้าหมายต่อไปของเราคือ ศูนย์อภิบาลช้าง ที่อ.แม่ริม ซึ่งแน่นอนว่าต้องขับผ่านเส้นทางบนเขาไปอีกหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งในเรื่องของเครื่องยนต์ไม่น่าเป็นห่วงครับ มาดูเรื่องการทรงตัว และการควบคุมรถกันดีกว่า
เจ้านิสสัน นาวาร่า MY17 ดับเบิลแคป คาร์ลิเบอร์ รุ่น V นี้เมื่อเจอกับทางโค้งหนักๆ นี่ก็อาการออกเหมือนกันครับ พวงมาลัยยังไม่ค่อยแม่นเท่าไหร่ ยิ่งขับด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติ ต้องระวังเลยครับกับอาการท้ายปัด ที่ผมเจออาการนี้ 2-3 ครั้ง แต่ก็แก้กลับมาได้ไม่ยากเท่าไหร่ครับ ซึ่งผมมองว่า เจ้านาวาร่า นี้ไม่ค่อยชอบโค้งหนักๆ เท่าไหร่ ต้องขับในความเร็วปกติหน่อยครับถึงจะไว้ใจได้
ช่วงบ่ายๆ หลังจากที่ขับกันมาแบบไม่ต้องรีบเร่ง มองหน้าปัทม์ ดูอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 9-10 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่าไม่ได้ประหยัดอะไรมากมายนัก ถือว่าไม่เด่นในเรื่องของความประหยัด
และแล้วเราก็มาถึงศูนย์อภิบาลช้างกันแล้ว บอกได้เลยว่าที่นี่ยอดเยี่ยมมากครับ กับแนวคิดของผู้ก่อตั้งคือคุณแสงเดือน ชัยเลิศ ที่ใช้แนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติควบคู่การส่งเสริมการท่องเที่ยวตามพระราชดำรัสของในหลวง รัชกาลที่ 9
ตอนแรกผมนึกไม่ถึงว่าที่ศูนย์อภิบาลช้างแห่งนี้จะทำงานระดับ นานาชาติ แล้ว โดยที่นี่มีช้างในการดูแลมากกว่า 70 เชือก ซึ่งช้างทุกตัวที่อยู่ที่นี่เป็นช้างที่ผ่านเรื่องเลวร้ายในชีวิตมาแล้วทั้งสิ้น พูดง่ายๆ เลยว่าช้างที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นช้างพิการ ที่เกิดจากการถูกคนใช้งาน หรือเหยียบกับระเบิด ช้างที่เจ็บป่วยรวมไปถึงช้างแก่อีกด้วย
โดยคุณแสงเดือน นำช้างเหล่านี้มารักษาจนกลับกลายหายดีเป็นปกติ ซึ่งการรักษาของที่นี่จะใช้การรักษาทั้งทางยา และจิตใจ ที่สำคัญการควบคุมช้างของศูนย์อภิบาลช้าง จะไม่มีการล่ามโซ่ หรือใช้ตะขอ ทำร้ายช้างแต่อย่างใด และไม่มีการฝึกช้างมาแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชม ซึ่งช้างที่นี่จะใช้ชีวิตตามธรรมชาติเท่านั้น แต่เชื่อมั้ยครับว่า แม้จะไม่มีเชือก หรือโซ่ รวมถึงตะขอ ช้างที่นี่ เชื่อฟัง คุณแสงดาว และทีมงานทั้งหมดเป็นอย่างดี สุดยอดมากๆ
สำหรับกิจกรรมที่นิสสัน มาที่นี่นอกจากมาเยี่ยมแล้ว ยังนำอาหารช้างอย่างผักและผลไม้ มามอบให้ที่ศูนย์นี้ด้วย และไม่ได้มอบอาหารเพียงอย่างเดียวนะครับ เรายังมาทำอาหารช้างอีกด้วย
ซึ่งเจ้าอาหารช้างนี้ไม่ใช่ผลไม้ธรรมดาๆ นะครับ แต่เป็นอาหารสำหรับ ช้างแก่ ที่ไม่มีฟันด้วย โดยเราต้องเอาข้าวเหนียวึ่งสุก มาบดผสมกับผลไม้อย่างเช่นกล้วย แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ เพื่อเก็บไว้ให้ช้างแก่ที่นี่ได้ทานกันอีกด้วย
นอกจากช้างแล้วยังมีสัตว์อื่นๆ อีกอย่างกระบือที่ไปไถ่ชีวิตจากโรงฆ่าสัตว์อีก 150 – 170 ตัว วัวก็อีกเป็น 100 สุนัข 500 – 600 ตัว โดยสุนัขที่ทางศูนย์ฯ เลี้ยงส่วนใหญ่จะมาจากสุนัขที่ถูกทิ้งในกรุงเทพฯ เมื่อช่วงน้ำท่วมใหญ่ กรุงเทพฯ เมื่อปี 2554? แถมยังมีแมวอีก 250 ตัว เรียกว่า คุณแสงดาว คือแม่พระของบรรดาสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากเลยทีเดียว
ทริปนี้จบลงอย่างสวยงาม ทั้งได้ลองรถทั้งยังได้ทำความดีกับบุคคลที่เดินตามรอยพ่อ ในแบบที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มๆ จางๆ บนใบหน้าของพวกเราทุกคน