fbpx

ลองขับ ฮอนด้า เอชอาร์-วี ใหม่ (2018) ปลอดภัยเพิ่ม สบายเหมือนเดิม

รถยนต์นั่งเอนกประสงค์ หรือ SUV กลายเป็นทางเลือกใหม่ๆ ของครอบครัวสมัยใหม่ต้องการ เพราะด้วยรูปลักษณ์ของตัวรถที่ดูบึกบึน พื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชั่นต่างๆภายในรถที่มีมากกว่ารถยนต์นั่งทั่วไป และที่สำคัญความสูงของตัวรถที่เหนือกว่ารถซีดาน ยิ่งทำให้ผู้ใช้่รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่อนั่งอยู่บน SUV

ปัจจุบันนี้ รถยนต์ SUV สามารถสร้างส่วนแบ่งการตลาดมาจากรถยนต์นั่งได้ไม่น้อย รวมถึงมีผู้เล่นในตลาด SUV มากขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่ารถ SUV เป็นสินค้าที่ตลาดให้ความสนใจไม่น้อย

และแบรนด์รถยนต์ ฮอนด้า คือผู้นำในตลาดรถยนต์ SUV ของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นฮอนด้า CR-V ที่ครองความเป็นเจ้าตลาดรถ SUV ขนาดกลางใหญ่ และ HR-V ที่ครองแชมป์ SUV ขนาดกลางของตลาดเมืองไทยมาตั้งแต่รถทั้ง 2 รุ่นนี้เปิดตลาดในเมืองไทย โดย HR-V นั้นมียอดขายสะสมมากถึง 66,000 คันเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม การขึ้นเป็นเบอร์ 1 และรักษาความเป็นเบอร์ 1 เอาไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผ่านมามีคู่แข่งกระโดดเข้ามาแข่งขันในตลาดกลุ่มนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งฮอนด้า เองต้องปรับตัวเพื่อรักษาตำแหน่งแชมป์ให้ได้ยาวนานที่สุด

ล่าสุดฮอนด้า ได้เปิดตัวเจ้าฮอนด้า HR-V ใหม่ในเวอร์ชั่น 2018 ไปเมื่อไม่นานนี้ โดย HR-V ใหม่โฉม 2018 มีการปรับเปลี่ยนตัวเองมากพอตัวทีเดียว ซึ่งการเปิดตัว ฮอนด้า HR-V 2018 นี้ฮอนด้า กั๊กอยู่นานทีเดียว โดยรอดูยอดขายคู่แข่งตลอดกาลอย่าง โตโยต้า C-HR ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปีว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากน้อยแค่ไหนเสียก่อน

HR-V ใหม่ นี้ก็เลยต้องจัดเต็ม เพื่อจะได้แข่งกับ โตโยต้า C-HR ได้แบบสมน้ำสมเนื้อหน่อย โดยสิ่งแรกที่ฮอนด้าทำคือ จับรุ่นเก่ามาแต่งหน้าทาปากใหม่ และเพิ่มรุ่น RS ใหม่ และสีใหม่ สีแดงแพสชั่น (มุก) ใหม่ขึ้นมาเป็นรุ่นท็อป พร้อมเพิ่มออปชั่นด้านความปลอดภัยเพิ่มเข้ามา ในราคา 1,119,000 บาท หรือขยับเพิ่มจากรุ่นท็อปเดิมประมาณ 20,000 บาทเท่านั้น เมื่อมีรุ่นท็อปใหม่มาแบบนี้ www.carvariety.com ก็ต้องไปลองขับเจ้า HR-V ใหม่ กันหน่อยว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง

เริ่มจากภายนอกของ HR-V ใหม่ รุ่น RS นั้นแน่นอนว่าเมื่อใช้ชื่อรุ่นว่า RS แบบนี้ต้องเน้นความเป็นสปอร์ตมาเป็นอันดับแรก ตั้งแต่ กระจังหน้าดีไซน์ใหม่โครเมียมรมดำแบบสปอร์ต ส่วนไฟหน้ามาแล้วกับ Full LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED หรือ เดย์ไทม์รันนิ่ง

ถามว่าสวยมั้ย!! ก็ต้องบอกว่าดูทันสมัยขึ้น ดูดีมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมครับ แถมยังมีชายกันกระแทกด้านข้างสีดำแบบสปอร์ตมาด้วย มือจับเปิดประตูด้านหน้าก็เป็นแบบโครเมียมรมดำ กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ต ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 215/55 R17 นิ้วแบบสปอร์ต ไฟท้ายก็เป็น LED แบบ TUBE และสัญลักษณ์ RS บนฝากระโปรงท้าย ดูแล้วเท่ขึ้นไม่น้อยเลย

ชะโงกหน้าเข้าไปดูที่ตำแหน่งคนขับ ก็เห็นแป้นเหยียบคันเร่งและเบรกเป็นแบบสปอร์ตด้วย แต่เอ…..ไอ้เจ้าแป้น 2 แป้นนี้ไม่มีใครเห็นนี่นา นอกจากคนขับ แล้วแต่งมาทำไมหว่า… เอ้าถือว่าเพิ่มให้เท่ขึ้นละกัน

ส่วนภายในนั้นเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ ดูดีครับทันสมัยมากขึ้น แต่ที่เด่นที่สุดภายในของเจ้า HR-V ก็คือเบาะนั่งที่สามารถปรับพับได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Utility Mode, Tall Mode และ Long Mode เรียกว่าเจ้าของรถสามารถปรับเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่สัมภาระได้ตามที่ใจต้องการ หรือตามขนาดของสัมภาระได้เลย และการปรับพับเบาะได้ 3 รูปแบบนี้ถือเป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัวของฮอนด้า HR-V ด้วยที่สามารถปรับเบาะได้มากแบบขนาดนี้ คู่แข่งไม่มีใครปรับเบาะได้แบบนี้เลยครับ ทำได้มากสุดก็แค่ปรับเบาะที่นั่งแถว 2 ลงมาราบกับพื้นรถเท่านั้น

จุดนี้ผมถือว่า HR-V ใหม่ ทำได้เด็ดดวงที่สุดแล้ว และเป็นจุดเด่นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ HR-V กลายเป็นรถสำหรับครอบครัวที่เจ๋งมากสำหรับครอบครัวที่ต้องการพื้นที่บรรทุกสัมภาระเยอะๆ ส่วนพื้นที่สำหรับผู้โดยสารตอนหลังก็กว้างขวางเอาการ ไม่อึดอัดแต่อย่างใดนั่งสบายด้วย ไม่มีปัญหาหากต้องใช้สำหรับการเดินทางไกลๆ

ก้าวเข้าไปตำแหน่งคนขับหน่อยดีกว่า พวงมาลัยหุ้มหนังแบบมัลติฟังก์ชั่น ยังดูดีอยู่ ปุ่มควบคุมด้านซ้ายใช้ควบคุมเครื่องเสียง รวมถึงรับ-วางสายโทรศัพท์ ปุ่มควบคุมด้านขวา ใช้สำหรับเปิด-ปิดระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ซึ่งน่าเสียดายที่ฮอนด้า ยังไม่ยอมเปลี่ยนระบบนี้ให้เป็นระบบควบคุมความเร็มอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) เหมือนอย่างที่มีในฮอนด้า แอคคอร์ด น่าเสียดายครับ น่าเสียดาย ผมว่าจุดนี้ฮอนด้า ประหยัดไม่เข้าเรื่อง

มาตรวัดรอบ มาตรวัดความเร็ว และจอแสดงผลต่างๆ บริเวณคอนโซลหน้า ทันสมัยดีครับ เพราะเป็นมาตรวัดแบบดิจิตอลหมดแล้ว ดูกระจ่างตาอ่านง่ายดี ส่วนคอนโซลกลาง จะมีจอเครื่องเสียงแบบสัมผัสขนาดใหญ่ ถัดลงมาด้านล่างเป็นแผงควบคุมระบบปรับอากาศแบบสัมผัสทั้งหมด

และถ้าแหงนมองขึ้นไปบนเพดานก็จะพบกับ หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าแบบวันทัช ทำให้การเปิด-ปิดทำได้ง่ายดีทีเดียว เจ้าหลังคาซันรูฟนี้ หากมองในแง่ของประโยชน์แล้วต้องบอกว่ามีมาให้น้อยมากกับประเทศเมืองร้อนแบบบ้านเรา

แต่หากมองในแง่ของความเท่ความไม่เหมือนใครก็ต้องปล่อยให้มีออปชั่นนี้ไป เพราะแม้จะเป็นฟังก์ชั่นที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่ลูกค้าเองก็เรียกร้องอยากให้รถยนต์ของตัวเองมี แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็ตาม ก็เลยทำให้ออปชั่นหลังคา ซันรูฟ เป็นออปชั่นที่ยังคงมีจำหน่ายอยู่ต่อไป และตลอดไปแน่นอน

กดปุ่มสตาร์ทกันเลย เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นบาๆ ซึ่งผมเองค่อนข้างที่จะประทับใจกับเครื่องยนต์ของ HR-V ใหม่ นะครับที่เดินของข้างเงียบและราบเรียบดีทีเดียว เหมาะอย่างยิ่งกับการเป็นรถยนต์ของครอบครัวเลยครับ ถ้าแค่สตาร์ทเครื่อง ยังไม่ได้เข้าเกียร์อะไร แอร์เย็นเพลงเพราะก็โอเคแล้วน่ะสำหรับผม ลุ้นก็แค่ความร้อนที่จะระอุลงมาจากหลังคาซันรูฟมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง ถ้าอยู่ในฤดูฝนแบบนี้ละก็ไม่มีปัญหาเปิดม่านซันรูฟ คอยมองเมฆฝน หรือรอดูเม็ดฝนปะทะกับหลังคาก็โรแมนติกดีไม่น้อย

ลองขับกันเลยดีกว่าครับ เพราะฟังก์ชั่นที่สำคัญๆของ HR-V ใหม่ 2018 นั้นจะเป็นฟังก์ชั่นในส่วนของความปลอดภัยที่น่าพูดถึงมากกว่า

เข้าเกียร์ D ทันที เจ้า HR-V ใหม่ 2018 ก็เคลื่อนตัวไปแบบผู้ดี ไม่อาการกระชากให้เสียความรู้สึก ก็ต้องบอกว่าเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด1.8 ลิตร SOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว 141 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 172 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที ที่มาพร้อมกับระบบเกียร์ CVT ใหม่ นั้นยังทำงานได้ดีครับ

แต่น่าเสียดายที่ ฮอนด้า ไม่มีเครื่องยนต์ตัวใหม่ใน HR-V ที่เป็นเจนเนอเรชั่นนี้ แม้ว่าเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตรตัวนี้ จะมีอัตราการตอบสนองที่ดีและกินน้ำมันไม่ค่อยมากก็ตาม และยังสามารถเติมน้ำมัน E85 ได้เหมือนรุ่นเดิมด้วย แต่ในส่วนตัวผมก็ยังอยากเห็นเครื่องยนต์ที่ดีกว่านี้ อย่างเช่นเครื่องยนต์ไฮบริด มาใส่ไว้ในรถกลุ่มนี้เช่นกัน

อัตราเร่งอยู่ในระดับที่ไว้ใจได้ครับ ในย่านความเร็วปกติไม่มีปัญหาอะไร การเร่งแซงไม่ถึงกับหลังติดเบาะแต่ก็พุ่งพอตัวไม่ขี้เหร่มากมากนัก แต่หากเทียบกับอัตราเร่งของคู่แข่งอย่าง โตโยต้า C-HR เครื่องไฮบริด ต้องยอมรับว่าโตโยต้า C-HR ไฮบริดออกตัวและเร่งแซงดีกว่ามากครับ

แม้ว่าอัตราเร่งจะดูธรรมดาๆ แต่หาก อยากซิ่ง เราก็สามารถแปลงร่างเจ้า HR-V ใหม่ 2018 นี้ให้ซิ่งได้ ด้วยการเปลี่ยนเกียร์มาเป็นเกียร์ S ที่ทำให้อัตราเร่งกระฉับกระเฉงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หรือจะเลือกปรับเปลี่ยนเกียร์เองด้วยแป้น paddle shift ที่อยู่ด้านหลังพวงมาลัยก็จะทำให้ HR-V ใหม่ 2018 ขับสนุกมากขึ้นแน่นอน

แต่สิ่งหนึ่งที่น่าประหลาดใจคือ ช่วงล่างของ HR-V ใหม่ 2018 ค่อนข้างจะนุ่มนวลเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะยางของรุ่นนี้ที่นุ่มกว่าก็อาจจะเป็นไปได้ครับ ทำให้ดูว่าเจ้ารถคันนี้เหมาะกับรถครอบครัวเข้าไปใหญ่ แม้ว่าหน้าตาจะสปอร์ต แต่เมื่อนั่งแล้วเน้นสบายมากกว่าสปอร์ตครับ

การทรงตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากครับ ไว้ใจได้เลยแม้จะขับด้วยความเร็วสูง ช่วงล่างก็ไม่ปรากฏอาการส่าย หรือร่อนให้รู้สึกเหวอแต่อย่างใด พวงมาลัยก็แม่นยำดีครับ น้ำหนักเบามือในความเร็วต่ำแต่หน่วงมือเมื่อความเร็วสูง เหมาะสำหรับทั้งขับขี่ในเมือง และต่างจังหวัด

เอาละมาถึงฟังก์ชั่นที่ฮอนด้าใส่มาใน HR-V ใหม่ 2018 กันแล้ว อย่างระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ที่จะมีไฟเตือนบริเวณกระจกมองข้างทั้งด้านซ้าย-ขวา เมื่อมีรถแซงขึ้นมาในมุมอับสายตา ระบบนี้แม้ว่าจะไม่ได้ใหม่ในวงการรถยนต์แต่มันเป็นระบบที่ดีมาก เมื่อเราต้องขับขี่ในเมืองที่มีรถมอเตอร์ไซค์มากกว่ายุงในบ้าน ระบบนี้ช่วยให้เราปลอดภัยขึ้นเวลาจะเปลี่ยนเลนไปซ้ายหรือขวา

และยังมีระบบเตือนและช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ (City Brake Active System) โดยระบบนี้จะทำงานที่ความเร็วตั้งแต่ 5-30 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยระบบจะมีสัญญาณเตือนปรากฏที่มาตรวัดด้านหน้าผู้ขับ

หากรถเคลื่อนที่ไปหาวัตถุด้านหน้าโดยไม่มีการผ่อนคันเร่ง หรือเหยียบเบรก และเมื่อถึงระยะกระชั้นชิดแล้ว ยังไม่มีการเบรกจากผู้ขับ ระบบจะเบรกรถให้โดยอัตโนมัติทันที ระบบนี้ดีมากครับกับพฤติกรรมของคนขับรถสมัยนี้ที่เวลารถติด จะเล่นกันแต่มือถือ ตามัวแต่มองหน้าจอโทรศัพท์ไม่มองถนนข้างหน้า ระบบนี้ก็จะเข้ามาช่วยอีกชั้นหนึ่ง

นอกจากนี้ยังมี ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ที่จะช่วยล็อครถอัตโนมัติทันที เมื่อคุณเดินห่างจากตัวรถ ระบบนี้จะแก้ไขปัญหาการลืมล็อครถได้ 100% เหมาะอย่างยิ่งกับเจ้าของรถที่ขี้ลืมทั้งหลาย และยังเพิ่ม กล้องมองภาพด้านหลัง ที่ปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) คือมุมแคบ มุมกลาง และมุมกว้าง เอากันให้เต็มที่ไปเวลาถอยหลัง น่าเสียดายยังไม่มีระบบกล้องมองรอบคันมาให้ด้วย ถ้าอย่างนั้น Perfect!!

ถุงลมนิรภัยให้มา 6 ลูก จะได้ไม่ต้องมาถามกันมากนักเพราะ C-HR เขาให้มา 7 ลูกก็ถือว่าแข่งกันไปสนุกๆ ลูกค้าได้ประโยชน์ไม่มีอะไรให้คอมเมนต์อยู่แล้ว มีระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) มีสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS) เบรกมือเป็นเบรกมือไฟฟ้าแล้ว ไม่ต้องมีก้านเบรกมือให้เกะกะอีกต่อไป

มีระเบรก HOLD เอาไว้ใช้เวลารถติดตามแยกเราไม่ต้องมาเข้า P ให้ต้องมาเปลี่ยนเกียร์เป็น D เวลารถขับทีละนิด คราวนี้เวลารถติดก็กดปุ่ม HOLD ขณะที่เกียร์เรายังอยู่ D โดยเราไม่ต้องเหยียบเบรกแล้ว แต่รถจะหยุดเมื่อรถเคลื่อนตัวเราก็แค่เหยียบคันเร่งไปได้เลย ระบบก็จะคลายเบรกและเคลื่อนตัว และเมื่อเราหยุดรถระบบ HOLD ก็จะทำงานต่อ โดยเราจะยกเลิกระบบ HOLD ทำงานก็ต่อเมื่อต้องกดปุ่ม HOLD ซ้ำอีกครั้งระบบก็จะยกเลิกโดยอัตโนมัติ

HR-V ใหม่ รุ่น RS สนนราคา 1,119,000 บาท

แต่หากรุ่นเริ่มต้นคือรุ่น รุ่น E ราคา 949,000 บาท

รุ่น EL ราคา 1,059,000 บาท ราคาก็จะลดหลั่นกันตามออปชั่นที่หายไป ถ้าไม่คิดอะไรมาก รุ่น E ที่ราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท ก็พอใช้แล้วครับ กับรถครอบครัวที่นั่งสบายๆกันทั้งพ่อแม่ลูก

แต่หากใครต้องการฟังก์ชั่นที่ครบๆ รุ่น RS ก็เป็นคำตอบที่ถูกต้องและเข้าทางที่สุด สำหรับรถ SUV ขนาดกลางที่เข้าท่าที่สุดในตลาดรถยนต์เมืองไทยในวันนี้


 

บทความที่น่าสนใจ

All New Suzuki XL7 อีกหนึ่ง Crossover MPV ในตลาด ขับสนุก ช่วงล่างดี แล้วต่างจาก Ertiga ตรงไหน?

Peng

ทริปเกาะช้างกับ Mercedes Benz GLC 220d AMG Dynamic ขับสบายๆ ไม่ว่าโค้งไหนก็เอาอยู่

Peng

ลองขับ ตัวเป็นๆ นิสสัน เทอร์รา Ver.ฟิลิปปินส์ มีดีเกินตัวน่ะ

idiot

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy