จากตลาดรถยนต์ในปัจจุบันรถยนต์ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% ก็ได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดีในเมืองไทย แม้จะมีแผ่วๆ ลงบ้างในช่วงนี้ แต่ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ ซึ่งก็มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อหลากรุ่น ไม่ว่าจะเป็นค่ายจากฝั่งยุโรป จากฝากอเมริกาที่เริ่มปล่อยรถมาได้สักพักเห็นหนาตาขึ้นบนท้องถนน ร่วมถึงจากจีนเองก็มีอยู่หลายค่าย แต่วันนี้เราจะไม่ได้พูดถึงรถยนต์ EV กันนะครับ เรามาพูดถึงอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจในช่วงเวลาที่รถยนต์ EV เริ่มเต็มถนน นั้นก็คือ GWM HAVAL H6 PHEV รถยนต์ SUV 2 พลังงานขับเคลื่อน ที่สามารถขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน และพลังงานไฟฟ้า เอ่ยขึ้นมาก็น่าสนใจแล้วใช่ไหม มาดูกันดีกว่าทำไมถึงน่าสนใจ
พอดีได้มีโอกาสหยิบยืมเจ้า GWM HAVAL H6 PHEV เดินทางไปท่องเที่ยวที่ เกาะกูด จังหวัดตราด แล้วก็เป็นสัปดาห์ช่วงวันหยุดยาว บอกได้เลยว่าคนเดินทางกันเพียบ รถเต็มถนนกันเลยทีเดียว และด้วยความโชคดีที่หยิบยืม GWM HAVAL H6 PHEV มาใช้เดินทางก็เลยได้ประสบการณ์ที่จะมาเล่าสู่กันฟังครับ ก่อนการเดินทางก็เตรียมรถให้พร้อมทั้งหมดไม่ว่าจะน้ำมันเติมให้เต็ม และไฟชาร์จให้เต็มเปี่ยม ก่อนจะไปเข้าเรื่องการเดินทางเรามาพูดถึงระบบขับของเจ้า GWM HAVAL H6 PHEV กันก่อน ซึ่งใช้ด้วยกันอยู่ 2 ระบบ
ระบบแรกก็จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว 1.5 ลิตร 1,499 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 75 x 84.9 มิลลิเมตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection พ่วงด้วย Turbocharged ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 5500 – 6000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 230 นิวตันเมตร ที่ 1500 – 4000 รอบ/นาที สามารถรองรับน้ำมัน E20 ได้
และอีกระบบก็จะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำงานร่วมกันกับเครื่องยนต์เบนซิน รีดแรงม้าออกมารวมกันทั้งระบบได้ 326 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุดถึง 530 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านระบบ DHT (Dedicated Hybrid Transmission) พ่วงกับแบตเตอรี่ Lithium Ternary ที่มีขนาดความจุ 34 kWh รองรับการชาร์จไฟฟ้าได้ทั้งกระแสสลับ AC สูงสุด 6 kW และไฟฟ้ากระตรง DC สูงสุด 48 kW ซึ่งระบบไฟฟาวิ่งได้ถึง 201 กิโลเมตร(เป็นการเคลมจากโรงงานนะครับไม่ใช่วิ่งจริง) ระยะเวลาการชาร์จถ้าเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ AC จาก 0-100% ภายใน 6 ชั่วโมง ส่วนไฟฟ้ากระแสตรง DC จาก 0-80% ภายใน 35 นาทีเท่านั้น และมีโหมดการขับขี่มาให้ทั้งหมด 4+1 รูปแบบ
- โหมดมาตรฐาน Normal Mode
- โหมดประหยัด Eco Mode
- โหมดสปอร์ต Sport Mode
- โหมดถนนลื่น Wet Mode
- ที่บวก 1 ก็คือโหมดการขับขี่ไฟฟ้าล้วน EV Mode
มาเข้าเรื่องการเดินทางกันดีกว่าซึ่งการเดินทางก็อย่างที่บอกว่าใกล้วันหยุดยาวรถก็จะหนาแน่นกันพอสมควร มีนัดขึ้นเรือไว้ตอน 10 โมงเช้าก็ต้องคำนวณเวลาให้ดี ซึ่งระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงท่าเรือคอรัล บีช รีสอร์ท ประมาณ 370 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางก็อยู่ประมาณ 5 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยและไม่ต้องเร่งรีบ เราก็ออกเดินทางกันประมาณตอนตี 3 ครึ่ง โดยช่วงตั้งแต่ออกจากบ้านจนเข้ามอเตอร์เวย์ก็ใช้พลังงานไฟฟ้าตลอด จนระหว่างทางมอเตอร์เวย์ไฟก็ใกล้จะหมดแล้ว ได้ระยะทางอยู่ประมาณ 120 กิโลเมตร อ้าว!! ทำไมวิ่งได้เท่านี้หละ ตอบเลยขับตามการใช้งานจริงเลยครับ เหยียบบ้างเบาบ้าง ตอนเช้าๆ ขนาดนี้รถยังพอโล่งอยู่ แล้วระบบขับเคลื่อนของ HAVAL H6 PHEV ก็มีการตั้งการเก็บพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ในช่วงเวลาอื่นๆ ที่จำเป็นอยู่ 20% ระบบนี้ผมว่ามันก็ดีนะ คือพอวิ่งจนเหลือ 20% ระบบก็จะตัดไปขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ หรือแม้แต่เราจะชาร์จแบตเตอร์รี่กลับก็สามารถทำได้เช่นกันสมมุติแบตเตอร์รี่เราเหลือ 20% เราสามารถตั้งเพิ่มเป็น 50% เมื่อเราวิ่งไปเรื่อยๆ ตัวเครื่องยนต์ก็จะชาร์จไฟฟ้ากลับไปในแบตเตอร์รี่จนครบตามที่เราตั้งไว้เพื่อจะได้กลับมาใช้ระบบไฟฟ้าเพียวๆ ได้อีกครั้ง แต่อาจใช้เวลาพอสมควร(ก็ต้องกะระยะเวลาดูว่าจะใช้ไฟฟ้าช่วงใน) และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงไปหน่อย
ขับมาได้สักระยะจะไม่ให้พูดถึงภายในก็คงไม่ได้ ซึ่งภายในของ HAVAL H6 PHEV นั้นก็ดูแปลกตาด้วยโทนสีที่เป็นแบบ Two-Tone สีดำกับสีขาว รวมถึงมีการแทรกสีทองเข้ามาในบางจุดเพื่อเพิ่มความหรูหรา เบาะนั่งเองก็เป็นเบาะไฟฟ้าทั้ง 2 ฝั่ง ด้านคนขับจะปรับได้ 6 ทิศทาง และมี Lumbar Support มาให้ทำให้ในการขับรถยาวๆ ไม่ค่อยปวดหลังเท่าไหร่ ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าก็ปรับได้ 4 ทิศทางเท่านั้น ส่วนในความสุนทรีในการเดินนั้นก็ให้มาดีเลยทีเดียว กับหน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว เชื่อมต่อได้ครบครันทั้ง Apple Carplay และ Android Auto มาพร้อมลำโพง 8 ตำแหน่งพ่วงด้วย Treble Woofer และ DTS มาให้ด้วย แล้วก็การเปิดปิดระบบต่างๆ ของตัวรถก็จะอยู่ที่หน้าจอนี้เกือบทั้งหมด แอบใช้ยากไปหน่อยเพราะ แต่ก็แค่ในตอนแรกๆ พอได้คุ้นชินกับตัวรถก็ไม่ใช่ปัญหา ช่อง USB ไว้เชื่อมต่อหรือชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีให้ทั้งผู้โดยสารด้านหน้าและหลัง รวมถึงมีสำหรับกล้องบันทึกหน้ารถด้วย และระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายก็มีมาให้
พอได้ออกจามอเตอร์เวย์ก็เริ่มหาที่ชาร์จไฟที่เป็น DC ช่วงยังเช้าอยู่น่าจะสักประมาณเกือบๆ 6 โมงเช้า เข้าปั๊มแรกมีคนจอดชาร์จอยู่(ดูแล้วน่าจะชาร์จเต็มแล้ว) แต่คนหายไปไหนไม่รู้ไม่เป็นไร ไปที่ปั๊มต่อไปละกัน ปั๊มนี้หัวชาร์จแบบ DC เยอะอยู่ มาอีกปั๊มปรากฏว่ามีคนจอดรอตามที่จองไว้อยู่ เราก็ลืมว่าปั๊มนี้สามารถจองที่ชาร์จก่อนได้ ก็คิดว่าเช้าขนาดนี้ยังไม่น่าจะยังไม่มีคนมา สุดท้ายมาจบที่ปั๊มที่ 3 มาถึงประมาณเกือบๆ 6 โมงครึ่งว่างพอดีแต่มีเวลาชาร์จครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเพราะมีคนจองต่อคิวอยู่ ในการชาร์จ HAVAL H6 PHEV ที่ขับมาหลังจากไฟเหลือน้อยก็ใช้ระบบ Hybrid มาตลอดมีไฟเหลืออยู่ 10% เหลือวิ่งได้ประมาณ 18 กิโลเมตรทำให้ในเวลาครึ่งชั่วโมงได้พลังงานกลับมาราว 60% รวมที่มีอยู่ก็ได้ประมาณ 70% วิ่งได้เพิ่มเป็น 140 กิโลเมตร ใช้เงินไปก็ 96 บาท เราก็ออกเดินทางต่อด้วยระบบไฟฟ้าอย่างเดียวเพราะเหลือระยะทางไม่ไกลก็จะถึงท่าเรือของทางรีสอร์ทแล้ว
มาถึงท่าเรือก็ใช้พลังงานไฟฟ้าไปกันพอสมควรแวะซื้อของนู้นนี้นั้นตลอดทางกว่าจะมาถึงได้ ทำให้พลังงานไฟฟ้าลดลงไปประมาณ 30% ได้ระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร ก็ถือว่าไม่มากไม่น้อยมี +/- 10% จากที่โรงงานเคลมไว้ เดี๋ยวมีมาต่อในการเดินทางขากลับแล้วก็สรุปการใช้ HAVAL H6 PHEV ในการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ ตอนนี้เรามาพูดถึง เกาะกูด ที่จังหวัด ตราด กันก่อนดีกว่าว่าเป็นยังไงบ้าง
เกาะกูดมีความใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเกาะช้างในจังหวัดตราด และเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมของคนที่ชอบทะเล เพราะด้วยความใสของน้ำทะเลที่เป็นสีเทอร์ควอยซ์ รวมถึงธรรมชาติของท้องทะเลที่ยังสมบูรณ์ ถ้ายิ่งได้เดินทางมาท่องเที่ยวช่วงเดือนพฤศจิกายน – เดือนกุมภาพันธ์ อากาศก็จะดี น้ำทะเลใสสวยงาม แต่ถ้าเป็นช่วงเดือนมีนาคม – ต้นเดือนพฤษภาคม ยิ่งสวยขึ้นไปอีกและยังเป็นช่วงพีคของเกาะกูด ที่จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวกันมากมาย ต้องบอกเลยว่าได้มาแล้วจะหลงรักธรรมชาติ และหาดทรายที่สวยงามของทะเล เกาะกูด กันเลยทีเดียว บนเกาะกูดยังมีชายหาดสวยๆ มากมายเช่น หาดอ่าวพร้าว, หาดบางเบ้า, หาดคลองเจ้า, หาดคลองหิน, หาดยายกี๋, อ่าวง่ามไข่, อ่าวสลัด, อ่าวตะเภา และยังมีน้ำตกอยู่ด้วยอย่างเช่น น้ำตกคลองเจ้า, น้ำตกห้วงน้ำเขียว เป็นต้น ส่วนในการเดินทางไปยังเกาะกูดนั้นก็มีหลายทางเลือก
- เดินทางด้วยรถยนต์ก็ใช้เวลาประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง แวะระหว่างทางได้แต่ก็ต้องเผื่อเวลาให้ดีเพราะช่วงเวลาเรือออกมีไม่กี่เที่ยวเท่านั้น
- เดินทางด้วยรถโดยสารก็จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ถึงสถานีขนส่งจังหวัดตราด ต่อรถไปที่ท่าเรืออีกครึ่งชั่วโมง
- เดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารก็จะสบายหน่อยใช้เวลาอยู่ 1 ชั่วโมงเท่านั้นแต่ก็ต้องต่อรถไปที่ท่าเรืออีก 45 นาที
ส่วนมากก็จะไปขึ้นเรือกันที่ท่าเรือแหลมศอก ก็แล้วแต่ที่พักด้วยเพราะบางที่พักมีสปีดโบ๊ตของตัวเอง อย่างที่เราไปจองที่พักของ เกาะกูดอ่าวพร้าวบีชรีสอร์ท ไว้ก็ไปขึ้นที่ท่าเรือคอรัล บีช รีสอร์ทไม่ต้องไปวุ่นวายกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ แต่วันที่ไปตอนเช้าน้ำลงพอดีเรือเข้ามารับไม่ได้ก็เลยต้องไปขึ้นที่ท่าเรือแหลมศอกเช่นกัน ราคาและเวลาในการนั่งเรือไปเกาะกูดก็แตกต่างกัน เรือโดยสารปกติราคารจะอยู่ที่ 350 – 600 บาท ใช้เวลา 1.15 – 1.30 ชั่วโมง ส่วนถ้าเป็นสปีดโบ๊ตราคาก็อยู่ที่ 600 บาท ใชเวลา 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง มาถึงที่อ่าวสลัดเกาะกูด(ขากลับก็ต้องมาที่ท่าเรือนี้เพื่อเดินทางกลับ) ก็ต้องมาต่อรถ 2 แถวจะขึ้นคันไหนก็ต้องเช็คดูว่าไปรีสอร์ทที่จองไว้รึเปล่า เรื่องเวลาถึงฝั่งก็แล้วแต่สภาพอากาศในวันนั้นด้วย ลืมอีกอย่างใครที่ขับรถไปเองก็จะมีเลียค่าจอดวันอีกละ 50 บาท/คัน บางที่จะ 50 บาท/คืน ทั้งหมดทั้งมวลก็อยู่ที่ Package ของที่พักที่จองมาด้วยส่วนมากจะรวมให้เกือบหมดทุกอย่างไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มอีก
ส่วนเรือที่เราขึ้นก็เป็นเรือสปีดโบ๊ตของรีสอร์ทก็จะไปลงที่หน้ารีสอร์ทเลย มันสบายดีแท้จริงๆ มาถึงแรกเห็นก็จะเป็นท้องน้ำที่ใสมากๆ รวมถึงท่าเรือที่เป็นสะพานไม้ยื่นออกมาสวยงาม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรีสอร์นี้เลย เข้ามาภายในรีสอร์ทร่มรื่นมาก หาดทรายขาวละเอียดมาก ผมจองที่พักเป็น Package 3 วัน 2 คืน อาหาร 5 มื้อ มีพาไปน้ำตกคลองเจ้า และพาไปดำน้ำให้ด้วย หลักของการมาเที่ยวเกาะกูดของหลายๆ คนก็คงอยากมาพักผ่อนชาร์จแบตให้กับตัวเอง เพราะในการจะเดินทางไปไหนภายในเกาะนั้นจริงๆ มันก็เหมือนจะสะดวก ซึ่งมันก็มี 2 เลือก
- เดินทางด้วยรถสองแถวก็จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 400 – 1.000 บาท แล้วแต่ระยะทางที่จะเดินทางไปแต่ละที่ (รวมกลับมาที่พักแล้ว)
- เดินทางด้วยการเช่ารถจักยานยนต์ 250 – 350 บาท ส่วนมากที่พักจะมีให้เช่าอยู่แล้ว
แต่ถ้าใครจองเป็น Package อยู่แล้วทางรีสอร์ทก็จะมีพาออกไปตามจุดที่เขากำหนดไว้ ถ้าไม่มีก็สามารถเลือกการเดินทางเพื่อไปท่องเที่ยวเองก็ได้ ส่วนอาหารบาง Package ก็จะมีให้ครบทุกมื้อจนวันกลับ หรือถ้ามีให้ไม่ครบทุกมื้อบนเกาะก็จะมีร้านอาหารให้เลือกสรรอยู่พอสมควรแต่ก็ต้องเดินทางไปเองเช่นกัน
ในส่วนของ Package ที่เราจองไว้ก็มีพาไปเที่ยวที่น้ำตกคลองเจ้า น้ำตกคลองเจ้าเป็นน้ำตกขนาดกลาง ความสูงโดยรวม 10 เมตร มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นล่างจะมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่และน้ำค่อนข้างใสเย็นสบาย เหมาะกัยการเล่นน้ำคลายร้อนมากๆ แต่น่าเสียดายเป็นช่วงแล้งของบนเกาะทำให้มีน้ำน้อยมาก เลยอดไม่ได้เห็นความสวยงามของน้ำตกเลย ทางรีสอร์ทก็ได้เปลี่ยนพาไปคาเฟ่ยอดฮิตร้านนึงที่อยู่ริมน้ำคลองเจ้าร้าน Mangrove ซึ่งอยู่ภายใน Mangrove Bungalow กับบรรยากาศที่มองเห็นสันโค้งของคลองเจ้า และแนวชายป่าโกงกาง ที่นี่นอกจากมีอาหารเครื่องดื่มเย็นๆ จำหน่ายแล้วก็ยังมีกิจกรรมทางน้ำพายเรือคายัคชมคลองเจ้า และป่าโกงกางให้บริการด้วย
ไฮไลท์ของการมาเที่ยวที่เกาะกูดก็น่าจะเป็นกิจกรรมดำน้ำชมความใส ความสวยงายที่ยังสมบูรณ์ใต้ท้องทะเลไทย และจุดดำน้ำที่นิยมไปกันก็จะเป็นที่เกาะยักษ์เล็ก กับเกาะยักษ์ใหญ่ อุทยานแห่งชาติเกาะรัง จุดดำน้ำที่นี่จะเป็นแบบดำน้ำตื้น snorkeling และมีความสมบูรณ์ใต้ท้องทะเลอย่างมาก ทั้งปะการัง ฝูงปลาต่างๆ มากมาย แม้ท้องทะเลจะสวยงามแต่ก็ต้องระวังผู้คนที่มาท่องเที่ยว รวมถึงหอยเม่นที่พบได้ทุกจุดกันเลยทีเดียว ใครได้ไปท่องเที่ยวก็ระวังกันหน่อยนะครับ
ท่องเที่ยวชาร์จแบตกันเต็มที่ก็ถึงเวลาเดินทางกลับแล้ว ยังอยากอยู่ต่อเลยวันเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ขากลับเราก็ขึ้นเรือกลับมาที่ท่าเรือแหลมศอกเช่นเดิม เรามาถึงฝั่งประมาณ 10 โมงครึ่ง เก็บสัมภาระขึ้นรถพร้อมออกเดินทางกลับ ก่อนเดินทางกลับก็ว่าจะแวะชาร์จไฟสักหน่อย โดยไม่ได้จองไว้ก่อนเพราะเราเดินทางกลับก่อนจะหมดวันหยุดยาว ก็คิดว่าจะเหมือนขามาที่สามารถแวะชาร์จโดยไม่ต้องจอง สรุปทุกสถานีชาร์จตั้งแต่ออกจากท่าเรือมีคนนำรถมาชาร์จกันเต็มไปหมดตลอดเส้นทาง เราก็เลยลองจองดูยิ่งหนักไปใหญ่คิวยาวไปถึงช่วงบ่ายๆ เย็นๆ เลย ตอนนี้ยังไม่เที่ยงเลยถ้ารอได้นอนค้างอีกคืนแน่ๆ โอ้!!! ความนิยมรถไฟฟ้าในประเทศเติบโตสูงจริงๆ แต่ที่ชาร์จรองรับไม่พอเอาซะเลย โชคดีที่พาเจ้า GWM HAVAL H6 PHEV มาด้วยไม่ต้องคิดมากมีตรงไหนว่างค่อยเติม วิ่งเป็น Hybrid กลับไปก่อน อย่างน้อยก็ประหยัดเวลาไนการเดินทางได้มากอยู่ไม่ต้องมารอคิว ถึงแม้จะไม่ได้ความประหยัดจากไฟฟ้า 100% แต่ก็ยังมีการขับเคลื่อนด้วยระบบ Hybrid มาช่วยในความประหยัดได้พอสมควร
สรุปแล้วทริปนี้เดินทางไปกลับด้วยเจ้า HAVAL H6 PHEV กว่า 820 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองในระบบ Hybrid จะอยู่ที่ประมาณ 14-15 กิโลเมตร/ลิตร ถ้าเป็นไฟฟ้าก็จะอยู่ที่ประมาณ 17-18 kWh/100 กิโลเมตร วิ่งด้วยไฟฟ้า 100% เคลมมาจากโรงงานวิ่งได้ 201 กิโลเมตร มาใช้จริงจะวิ่งได้อยู่ประมาณ 160-180 กิโลเมตร อันนี้ก็แล้วแต่การขับขี่ของแต่ละคน แม้อัตราสิ้นเปลื้องจะไม่ได้โดดเด่นมากเท่าไหร่ แต่ก็ช่วยประหยัดเวลาได้มากเลยทีเดียวในการเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัด รวมถึงระบบช่วยเหลือต่างๆ ก็มีให้ครบ ความกว้างขวางทำให้สะดวกสบายในการเดินทาง พื้นที่ใช้สอยก็ขนสัมภาระได้เยอะพอดู HAVAL H6 PHEV ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกทีเป็นระบบขับเคลื่อน 2 ระบบ Hybrid และไฟฟ้า 100% กับยุคทองของรถไฟฟ้าที่ต้องมารอคิวกันชาร์จไฟกัน ใครที่สนใจก็ลองไปทดลองขับ ไปสัมผัสกันดูได้ที่โชว์รูม GWM ทั่วประเทศได้เลยครับ HAVAL H6 PHEV Ultra (Plug-in Hybrid) สนนราคาอยู่ที่ 1,699,000 บาท