fbpx
ทดลองขับ All-New Honda CR-V 2023 สองรุ่นสองสไตล์ ฟีลลิ่งต่างกันชัดเจน!

ทดลองขับ All-New Honda CR-V 2023 สองรุ่นสองสไตล์ ฟีลลิ่งต่างกันชัดเจน!

หลังจากที่พึ่งเปิดตัวกันไปอย่างเป็นทางการ สร้างความตื่นตาตื่นใจไม่น้อยกับรถยนต์ที่คุ้นหูคุ้นตาเรามากว่า 27 ปี ที่ถูกพัฒนาต่อเนื่องจนเข้าสู่ เจเนอร์เรชั่นที่ 6 กับเจ้า All-New Honda CR-V 2023 ที่รอบนี้มีมาให้เลือกกันถึง 5 รุ่นย่อยกับ 2 เครื่องยนต์ด้วยกัน ทั้งแบบเบนซินและ e:HVE ไฮบริด ซึ่งในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมาทางค่ายฮอนด้าสามารถสร้างยอดจองได้เป็นอันที่สองของงาน ประมาณ 4,304 คัน โดยมากกว่า 50% ของยอดจองเป็นเจ้า All-New Honda CR-V 2023 ต้องบอกเลยว่าแค่เปิดตัวมาไม่กี่วันก็ได้ใจสาวกฮอนด้าไปเต็มๆ วันนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของเรามากเพราะทางฮอนด้าได้จัดให้เราได้ทดลองขับ สองรุ่นท็อปสองเครื่องยนต์ เดี๋ยวเราไปดูกันว่าจะมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน

ภายนอก

ก่อนที่เราจะไปพูดถึงการทดลองขับกันเรามาดูภายนอกกันซะหน่อยว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง เจ้า All-New Honda  CR-V 2023 เจเนอร์เรชั่นที่ 6 ดูรวมๆแล้วภายนอกมีหน้าตาที่หล่อเท่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เส้นสายตัวรถเฉียบคม โดยได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Sport and Functional Body Frame” ให้เน้นความเป็นสปอร์ตโฉบเฉี่ยวแข็งแกร่งแฝงด้วยความพรีเมี่ยมหรูหรา ซึ่งถ่ายทอดออกมาได้ชัดเจนลงตัวกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ และเป็นครั้งแรกกับรุ่น RS ที่เพิ่มความเป็นสปอร์ตอีกขั้น โดดเด่นและสะดุดตาด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่สีดำ Piano Black ให้ความรู้สึกหรูหรา พร้อมโลโก้ H สีฟ้าบ่งบอกถึงความเป็น EHEV หรือ ไฮบริด (ถ้าเป็นรถเครื่องยนต์เบนซินโลโก้จะเป็นสีดำ)  ไฟหน้าเป็นแบบ FULL LED  เปิด-ปิด ปรับ สูง-ต่ำ อัตโนมัติ พร้อม ไฟ Daytime Running Light ไฟเลี้ยวด้านหน้าเป็นแบบ Sequential (ไฟวิ่ง) ไฟตัดหมอกคู่หน้าก็เป็นแบบ LED เช่นกัน  และอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจใต้กระจังหน้าตรงกันชนล่างจะมีช่อง Grill ไว้รับลมที่สามารถเปิด-ปิดเองแบบอัตโนมัติ เพื่อรับอากาศภายนอกเข้าไประบายความร้อนของเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์มีอุณหภูมิเย็นตัวช่อง Grill จะปิดเองแบบอัตโนมัติอีกทั้งเป็นเรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ (Aero Dynamic) อีกด้วย

ดีไซน์ด้านข้างดูปราดเปรียวมากขึ้นกว่าเดิม มากับล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 19 นิ้ว กว้าง 7.5 นิ้ว พร้อมยาง 235/55/R19 (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) ชายกันกระแทกด้านข้างเป็นสีเดียวกับตัวรถ  (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) รุ่นอื่นเป็นสีดำ คิ้วตกแต่งประตูข้างเป็นสีดำ Gloss Black (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) รุ่นอื่นเป็นสีดำ กระจกมองข้างเป็นแบบไฟฟ้าพร้อมพับเก็บอัตโนมัติ โดยรอบนี้เค้าได้ใส่กล้องรอบคันแบบ 360 องศามาให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว กระจกมองข้างฝั่งซ้ายยังมีกล้อง Honda lanewatch มาให้เหมือนเดิม พร้อมปรับมุมมองลงต่ำอัตโนมัติเมื่อใส่เกียร์ถอยหลัง หลังคาเป็นแบบ  Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่ ไฟท้ายเป็น FULL LED  ไฟตัดหมอกหลังก็เป็นแบบ LED เช่นกัน มีเซ็นเซอร์กะระยะมาให้ด้านหน้า 4 จุด ด้านหลัง 4 จุด สปอยเลอร์หลังเป็นสีเดียวกับตัวรถและสีดำ Piano Black เสาอากาศเป็นแบบครีบฉลาม สีดำ Piano Black ยังเพิ่มความเป็นสปอร์ตด้วยท่อไอเสียแบบคู่ ฝาท้ายเป็นแบบเปิด-ปิดด้วยระบบแฮน์ฟรีพร้อมระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ ผมได้ลองในส่วน kick sensor เปิด-ปิด ถือว่า sensor ทำงานได้ดี เปิด-ปิดง่ายไม่ต้องสอดเท้าไปลึกให้เสียการทรงตัว


ภายใน
แว๊บแรกเปิดเข้ามาภายในของเจ้า All-New Honda  CR-V 2023 อาจจะไม่ได้รู้สึกแปลกตามากนักเพราะดีไซน์ในการออกแบบเราเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้วใน Civic หรือ HR-V ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “High Quality but Tough”  ที่เน้นภาพสูงและความทนทาน พรีเมียมแต่เรียบง่าย โดยการจัดวางทุกองค์ประกอบเป็นไปอย่างลงตัว ทำให้พื้นที่ห้องโดยสารนั้นกว้างขวาง เริ่มจากคอนโซลด้านหน้าจนถึงแผงประตูที่มีการออกแบบให้เชื่อมต่อกันอย่างลงตัว สำหรัญรุ่น e:HEV RS 4WD ได้เสริมลุคสปอร์ตขึ้นอีกขั้นตกแต่งภายในลายอะลูมิเนียมปัดเงาและสีดำ Piano Black มีการเดินด้ายสีแดงที่เบาะหนังสีดำและพวงมาลัยอีกทั้งแป้นเหยียบคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต

All-New Honda  CR-V 2023 เป็นรถยนต์ C-SUV ฉะนั้นสิ่งอำนวยความสะดวกหรืออุปกรณ์พื้นฐานก็ต้องมีมาให้แบบครบครัน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นปรับได้สี่ทิศทาง สูง-ต่ำ ยืด-หด พร้อม Paddle Shift  เบาะนั่งฝั่งคนขับปรับแบบไฟฟ้า 8 ทิศทางพร้อมปุ่มดันหลัง 4 ทิศทาง สามารถบันทึกตำแหน่งผู้ขับขี่ memory seat ได้สองตำแหน่ง เบาะนั่งผู้โดยสายด้านหน้าปรับแบบไฟฟ้า 4 ทิศทาง หน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบ TFT ขนาด10.2 นิ้ว พร้อม head up display (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) หน้าจอมัลติมีเดี่ยแบบสัมผัส Advanced Touch ขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto พร้อมระบบทำทางเนวิเกเตอร์ (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD)  อีกทั้งเครื่องเสียงครั้งนี้เค้าจัดเต็มมาก ลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) ผมได้ลองเปิดฟังแล้วถือว่าเพราะใช้ได้เลย ระบบแอร์เป็นแบบอัตโนมัติแยกโซนซ้าย-ขวา พร้อมช่วยกรองฝุ่น PM2.5 ให้อากาศภายในรถในสดชื่นตลอดการเดินทาง  ใกล้กันก็มีช่องชาร์จไฟแบบไร้สายมาให้ Wireless Charger พร้อมช่องชาร์จไฟ USB มาให้ 4 ตำแหน่ง ด้านหน้า 2 ช่อง ด้านหลัง 2 ช่อง (แบ่งเป็น USB Type-A 1 ช่อง USB Type-C 3 ช่อง)  และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทางฮอนด้าได้ติดตั้งไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร Ambient Light มาให้ในตำแหน่งประตูหน้า-หลัง และที่วางแก้วทำให้รู้สึกถึงความหรูหรามากขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกติดในส่วนของภายในนิดหน่อยคือที่ท้าวแขนไม่สามารถปรับเลื่อนได้ซึ่งจริงๆแล้วผมว่ามันควรเลื่อนได้เพราะใน CR-V เจนก่อนหน้านี้ก็ยังปรับเลื่อนได้ จะทำให้การวางแขนนั้นสะดวกสบายมากขึ้น  กระจกมองหลังเป็นแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ

เบาะนั่งแถวสอง CR-V ก็ขึ้นชื่อในเรื่องของความกว้างขวางนั่งสบาย ซึ่งก็ถือว่านั่งสบายจริง พื้นที่Leg Room เพิ่มขึ้น 16 มิลลิเมตร เบาะปรับเอนได้ 8 ระดับ เพิ่มมุมเอนได้ถึง 105 องศา สามารถปรับได้แบบราบเรียบ 60 : 40 ความจุ 589 ลิตร เพิ่มจากเติม 92 ลิตร  มีช่องแอร์แถวสองพร้อมช่องชาร์จไฟ ไฟส่องหนังสือ ที่ท้าวแขนช่องวางแก้วน้ำมีมาให้ครบ ในส่วนของรุ่น EL 4WD รุ่น7ที่นั่ง ผมได้มีโอกาศไปทดลองนั่งดู ผมสูง 168 ซ.ม. ต้องบอกเลยว่าถึงเบาะแถวสามารถปรับเอนได้ก็จริง ผมปรับเบาะแถวสองให้เสมือนมีคนนั่งอยู่จริง ผมนั่งได้นะแต่!เหนื่อยหน่อย ขนาดผมไซส์เล็กๆนั่งแล้วยังรู้สึกอึดอัด เบาะนั่งแถวที่สามคงเหมาะกับเด็กมากกว่าถ้าเป็นคนไซส์ใหญ่นี้เลิกคุยเลย ในส่วนของรุ่น EL 4WD รุ่น7 ที่นั่ง ไม่ต้องกลัวร้อนนะครับเค้ามีช่องแอร์แถวที่สามมาให้เป็นที่เรียบร้อย

การขับขี่
เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้เกี่ยวกับสเปคและออฟชั่นกันไปบ้างแล้วเพราะหลายๆเว็บหลายๆเพจก็เจาะกันแบบละเอียดยิบกันไปแล้ว อันนี้เรายกจุดเด่นหลักๆมาย้ำกันอีกที เผื่อเพื่อนๆท่านใดยังไม่ทราบกัน คราวนี้ถึงทีที่ได้ทดลองขับเจ้า All-New Honda  CR-V 2023 กัน วันนี้เรามาทดลองขับกันที่จังหวัดเชียงใหม่ระยะทางต่อคนที่ได้ขับก็ไม่ได้มากนัก พอได้สัมผัสฟิลลิ่งการขับขี่อยู่พอสมควร

มาเริ่มกันที่รุ่น e:HEV RS 4WD ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดในลายผลิตของ CR-V ในเจเนอร์เรชั่นนี้ ครั้งแรกกับระบบฟูลไฮบริดที่ผสานการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 335 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 2,000 รอบต่อนาที มอบอัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมสูงสุดถึง 20.8 กม./ลิตร* (รุ่น e:HEV ES) และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 113 กรัม/กิโลเมตร ครั้งนี้ทางฮอนด้าได้ติดตั้งโช๊คฝากระโปรงหน้ามาให้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจเช็คเครื่องยนต์เป็นครั้งแรก

เจ้า All-New Honda CR-V 2023 มาพร้อมกับวิสัยทัศน์การขับขี่ที่ดีกว่ารุ่นเดิม โดยมีมุมมองด้านหน้ากว้างขึ้น 4.4 องศา กระจกมองข้างจากเดิมที่อยู่ตรงเสา A ได้ถูกย้ายมาไว้ตรงประตู จึงทำให้มีวิสัยทัศน์การมองดีขึ้นลดจุดอับสายตา ส่วนตัวผมมองว่าการย้ายตำแหน่งของกระจกมองข้างครั้งนี้เห็นผลในเรื่องการมองความมั่นใจในการเปลี่ยนเลนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เบาะนั่งโอบกระชับดี นั่งสบาย ปรับตำแหน่งท่านั่งการขับขี่ที่เหมาะสมได้ทุกสรีระ

ในส่วนการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์ในรุ่น e:HEV RS 4WD ต้องบอกเลยว่าตอบสนองดี ไม่อืด เรียกเป็นมาแบบนุ่มๆสมูท ไม่กระโชกโฮกฮาก มีรอยต่อของเกียร์พอให้ความรู้สึกถึงความเป็นสปอร์ต ความเร็วในช่วงต้นถึงกลางทำได้ดี กดเร่งแซงได้สบาย ผมได้ลองอัตราเร่ง 0-100 กม./ซม บนถนนจริงอยู่ที่ประมาณ 10.5 วินาที ก็ถือว่าโอเคเลยสำหรับ SUV ไซส์ใหญ่ขนาดนี้ แต่ในช่วงความเร็วปลาย 120+ กม./ซม. อาจจะไหลช้านิดนึง ส่วนหนึ่งอาจเป็นการเซฟระบบการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรรี่ รุ่น e:HEV  สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานได้อย่างชาญฉลาด เหมาะสมกับการขับขี่ในทุกสถานการณ์ใน 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) แต่ถ้าใครที่อยากสนุกกว่าเดิมเค้าก็มีปุ่มเลือกโหมดการขับขี่มาให้เลือกถึง 3 โหมด Sport , Normal , Eco โดยโหมด Sport นอกจากเครื่องยนต์และคันเร่งจะตอบสนองดีแล้วยังมีเสียงสังเคราะห์มาให้เพื่อเพิ่มอารมณ์ความเป็นสปอร์ตในการขับขี่อีกด้วย อย่างที่บอกไปเค้ายังมี Paddle Shift มาให้ เล่นได้ 3 ระดับ นอกจากจะช่วยในเวลาเร่งแซงและเอนจิ้นเบรก ส่วนหนึ่งผมคิดว่าช่วยในการชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่อีกด้วย  พวงมาลัยเป็นแบบไฟฟ้าน้ำหนักกำลังดี คม ให้ความแม่นยำสูง ขับขี่ในเมืองไม่เมื่อยล้าขับทางไกลก็มั่นใจ ระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็น แม็คเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็น มันติลิงค์ อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลก ผมรู้สึกประทับใจกับการเช็ตอัพช่วงล่างของรุ่น  e:HEV RS 4WD  ให้ความรู้สึกนุ่ม หนึบ ของจริง! ยืดเกาะถนนได้ดี เพราะถนนที่เราได้ทดลองขับกันเป็นทางโค้งชันซะส่วนใหญ่ บวกกับแบตเตอร์รี่ที่จัดวางตำแหน่งได้อย่างเหมาะสมจึงทำให้น้ำหนักของตัวรถบาลานซ์ได้อย่างตัว อีกทั้งเป็นการขับเคลื่อนแบบ AWD โดยใช้วิธีการแบ่งการขับเคลื่อนเป็น 50:50 ซึ่งเหมาะสมกับการเข้าโค้ง แต่สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการแบ่งการขับเคลื่อนได้ถึง 60:40 ตามลักษณะการขับขี่ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ทั้งสมรรถนะในการลุยบนถนนที่ขรุขระและสมรรถนะการเข้าโค้งควบคู่กันบอกเลยว่าภาพรวมการขับขี่สมรรถนะของรุ่น e:HEV RS 4WD ผมไม่ติดเลยสมรรถนะ เสียงลมเข้ารถก็เงียบ ระยะเบรกก็มั่นใจ  

มาในรุ่น EL 4WD 7 ที่นั่งกันบ้างเป็นรุ่นท็อปสุดของเครื่องยนต์เบนซิน มาพร้อมขุมพลัง เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร Direct Injection DOHC VTEC TURBO 4 สูบ 16 วาล์ว ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Direct Injection และ Turbocharger ขับสนุก อัตราเร่งทันใจ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) และมีอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุด 14.3 กม./ลิตร* (รุ่น E) และรองรับน้ำมัน E85  

ในการขับขี่ของรุ่น EL 4WD 7 ที่นั่ง กับ  e:HEV RS 4WD ถือว่าต่างกันพอสมควร ในเรื่องของเครื่องยนต์ในรุ่น e:HEV RS 4WD จะตอบสนองดีกว่า ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ถึงแม้จะมีเทอร์โบก็ตาม ก็ยังมีอาการรอรอบให้เห็นอยู่บ้าง เนื่องจากน้ำหนักของตัวรถค่อนข้างหนัก หากบรรทุกของหรือมีผู้โดยสารนั่งครบ 7 ที่นั่งผมบอกเลยว่ามีเหนื่อย แต่ในช่วงความเร็วปลายเครื่องยนต์เบนซินจะไหลได้ดีกว่า e:HEV และอีกจุดหนึ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดนั้นก็คือระบบช่วงล่างที่ใช้เหมือนกันแต่ได้มีการปรับเช็ตที่ต่างกัน ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน EL 4WD 7 ที่นั่ง ระบบช่วงล่างผมรู้สึกว่ามันออกไปทางนุ่มนิ่มหน่อย มีอาการย้วย โยนให้เห็นอยู่บ้าง ในเรื่องอัตราเร่งกับช่วงล่างคาแรคเตอร์ทั้งสองนรุ่นต่างกันอย่างชัดเจน ความแม่นยำ น้ำหนักพวงมาลัยคม ดีเหมือนกัน ในรุ่น EL 4WD 7 ที่นั่ง ไม่ได้มีปุ่มเลือกโหมดการขับขี่มาให้ ใช้เปลี่ยนเกียร์เป็นตำแหน่ง S เพื่อเข้าสู่โหมดสปอร์ตแทน สามารถเพิ่มความสนุกสนานด้วยการเปลี่ยนเกียร์เองที่ Paddle Shift ได้เหมือนกัน และยังเป็นครั้งแรกที่ทางฮอนด้าได้ใส่ระบบ hill descent control มาใน Honda CR-V

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ผสานการทำงานของกล้องด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลัก ๆ ดังนี้

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) 
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)  โดยมีกราฟิกรูปรถขึ้นโชว์ที่หน้าจอ TFT พร้อมบอกสถานะรถคันหน้าและไฟเบรก
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) หรือ ครั้งแรกกับระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) ที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในเวลากลางคืนและปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถด้านหน้าและคนเดินถนน
  • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) 

พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อื่น ๆ อาทิ 

  • ใหม่ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) (ยกเว้นรุ่น E)
  • ใหม่ เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด
  • ใหม่ ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC)
  • ใหม่ ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL)
  • ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
  • ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor)
  • ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) (รุ่น e:HEV ES และ
    e:HEV RS 4WD)
  • ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift)
  • ในส่วนระบบความปลอดภัยพื้นฐานก็มีมาให้ครบครันพร้อมถุงลมนิรภัย 8 จุด

ถ้าให้สรุปเกี่ยวกับ All-New Honda  CR-V 2023 ที่ได้ทดลองขับทั้งสองรุ่นนี้ในวันนี้ ส่วนตัวผมรู้สึกชอบรุ่น e:HEV RS 4WD มากกว่าในเรื่องของเครื่องยนต์และช่วงล่าง อัตราเร่งดีช่วงล่างเฟริมกว่าอย่างเห็นได้ชัด อัตราสิ้นเปลืองการบริโภคน้ำมันทำได้ดีกว่า รุ่น e:HEV RS 4WD ขับได้อยู่ประมาณ 12.5 กิโลเมตร/ลิตร รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน EL 4WD 7ที่นั่ง ขับได้อยู่ประมาณ 10 กิโลเมตร/ลิตร แต่ขอออกตัวก่อนเลยว่าการทดสอบวันนี้ใช้ความเร็วค่อนข้างสูง มีการคิกดาวน์เล่นเกียร์อยู่ตลอดเวลาเนื่องจากเส้นทางเป็นทางโค้งชันเลาะเขาจึงทำให้อัตราสิ้นเปลืองออกมาไม่ค่อยดีนัก และอีกนิดนึงจริงๆแล้วเค้าใส่กล้อง 360 องศามาให้เป็นเรื่องที่ดี ภาพคมชัด แต่ควรใส่ blind spot มาให้ได้แล้วรถระดับ C-SUV น่าจะมีมาให้ครบๆ แล้วอีกอย่างเวลาเราเชื่อมต่อ Google Map กับตัวรถยนต์เวลาเราเปิดไฟเลี้ยวซ้ายระบบจะตัด Google Map ออกเปลี่ยนมาเป็นกล้อง honda lene watch ขึ้นมาโชว์แทน ทำเอาเลี้ยวเลยซอยไปหลายคัน ฉะนั้นถ้าใครจะเชื่อมต่อ Google Map ก่อนจะออกรถแนะนำว่าควรเข้าไปปิดระบบ honda lene watch ก่อนนะครับไม่งั้นอาจจะเลยซอยได้ และอีกอย่างกล้อง honda lene watch ควรพัฒนาคุณภาพได้แล้วให้มันชัดกว่านี้ซักนิดจะดีเยี่ยมเลย  ยังไงแล้วรถยนต์ Honda CR-V เป็นรถ SUV เป็นรถที่อยู่คู่กับคนไทยมานานได้รับการตอบรับอย่างดีมาโดยตลอด ใครที่กำลังสนใจมองหารถยนต์แนวครอบครัวที่ตอบโจทย์ทุกการเดินทางขับใช้งานในเมืองก็ดีออกต่างจังหวัดยิ่งสบายถือว่า All-New Honda CR-V 2023 ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจเอามากๆอด้วยระบบขับเคลื่อนแบบ AWD ที่จะพาคุณกับครอบครัวไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆแห่งการเดินทาง

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย ดังนี้

  • ระบบฟูลไฮบริด e:HEV มาพร้อม 2 รุ่นย่อย ได้แก่
  • รุ่น e:HEV RS 4WD 5 ที่นั่ง  ราคา 1,729,000 บาท
  • รุ่น e:HEV ES 5 ที่นั่ง  ราคา 1,589,000 บาท
  • เครื่องยนต์เทอร์โบ มาพร้อม 3 รุ่นย่อย ได้แก่
  • รุ่น EL 4WD 7 ที่นั่ง ราคา 1,649,000 บาท
  • รุ่น ES 4WD 5 ที่นั่ง  ราคา 1,599,000 บาท
  • รุ่น E 5 ที่นั่ง  ราคา 1,419,000 บาท

โดยมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีใหม่ สีน้ำเงินแคนยอนริเวอร์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD และ e:HEV ES สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD สีขาวแพลทินัม (มุก) สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) และสีดำคริสตัล (มุก)

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ยังมาพร้อมข้อเสนอพิเศษ เมื่อจองและรับรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2566 –
31 พฤษภาคม 2566 ฟรีประกันภัย 1 ปี รับดอกเบี้ย 2.29%** พร้อมฟรีโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ (Honda Ultimate Care) ขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร ต่อจากระยะเวลาหรือระยะทางการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรแรกสิ้นสุดลง รวมสูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง (Honda 24hr Roadside Assistance)

เสริมความมั่นใจยิ่งขึ้นสำหรับรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ด้วยการมอบแคมเปญพิเศษ
ด้านการบริการหลังการขาย
** ได้แก่

  • ฟรีค่าแรงในการเช็กระยะตามตารางการบำรุงรักษาเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
    (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
  • รับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี
    ไม่จำกัดระยะทาง

ชุดอุปกรณ์ตกแต่ง

เสริมความสปอร์ตพรีเมียมในสไตล์ SUV อีกขั้นด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) ที่มาพร้อมแนวคิด “Vibrant SUV” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก อาทิ สปอยเลอร์หลังแบบสปอร์ต ราคา 12,000 บาท
คิ้วตกแต่งกระจังหน้า ราคา 3,900 บาท บันไดข้าง ราคา 16,500 บาท ไฟส่องสว่างประตูคู่หน้าแบบ LED (1 ชุด
มี 2 ชิ้น) ราคา 4,350 บาท คิ้วขอบห้องสัมภาระ LED ราคา 8,000 บาท และชุดเสริมหลังคาคู่พร้อมชุดบรรทุกสัมภาระหลังคา ราคา 27,500 บาท หรือเลือกตกแต่งในรูปแบบแพ็กเกจชุดแต่งรอบคัน ได้แก่

  • Elegant Package ราคา 31,000 บาท และ 32,500 บาท (สำหรับรุ่น e:HEV RS 4WD) ประกอบด้วย กันชนหน้าแบบสปอร์ต ชุดตกแต่งกันชนด้านหลัง คิ้วตกแต่งกระจังหน้า และชุดตกแต่งประตูข้าง
  • Premium Sport Package ราคา 43,500 บาท และ 45,000 บาท (สำหรับรุ่น e:HEV RS 4WD) ประกอบด้วยกันชนหน้าแบบสปอร์ต ชุดตกแต่งกันชนด้านหลัง คิ้วตกแต่งกระจังหน้า บันไดข้าง
    และชุดตกแต่งฝาท้ายคิ้วโครเมียม
  • Exhaust Pipe Finisher Package ราคา 2,500 บาท ประกอบด้วยปลอกท่อไอเสียสเตนเลส 2 ชิ้น

หรือดูรายละเอียดชุดอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้ที่ www.hondaaccess.co.th/products/crv

พบกับ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ได้ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 (Motor Show 2023) ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2566 – 2 เมษายน 2566 และที่โชว์รูมฮอนด้าตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2566** (รุ่นเทอร์โบ ตั้งแต่ 20 มีนาคม 2566 และ รุ่น e:HEV ในเดือนเมษายน 2566**) หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th/crv ลูกค้าสามารถทดลองขับ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้า โดยลูกค้าที่ลงทะเบียนและร่วมกิจกรรมทดลองขับทาง www.honda.co.th/testdrive จะได้รับของที่ระลึกจากฮอนด้า**

หมายเหตุ: 

*อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น
**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

– สีน้ำเงินแคนยอน ริเวอร์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD และ e:HEV ES

บทความที่น่าสนใจ

All New Suzuki XL7 อีกหนึ่ง Crossover MPV ในตลาด ขับสนุก ช่วงล่างดี แล้วต่างจาก Ertiga ตรงไหน?

idiot

ลองขับ MG ZS เอสยูวีน้องเล็ก บอกได้เลยว่ามัน คุ้มค่า มาก!

idiot

พิสูจน์ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เทพแห่ง ออฟโรด

idiot

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy