fbpx

เผยแล้ว Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ใหญ่ขึ้น หรูขึ้น และตัวเลือกเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร

Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ได้รับการเผยโฉมแล้วอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลก ภายนอกแข็งแกร่งสะดุดตา ภายในหรูหราและทันสมัย มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบ, เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ และเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 ลิตร EcoBoost

Everest เจเนอเรชันใหม่ เผยโฉมออกมาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วย รุ่นสปอร์ต รุ่นไทเทเนียมพลัส และรุ่นย่อยใหม่ล่าสุดคือรุ่นแพลทินัม โดย Ford จะวางจำหน่ายรุ่นย่อยต่างๆ แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างเหมาะสม ซึ่งรายละเอียดอื่นๆ จะได้รับการเปิดเผยช่วงใกล้การเปิดตัวในประเทศนั้นๆ

ดีไซน์ภายนอกของ Everest เจเนอเรชันใหม่ มาในลุคที่ดูแข็งแกร่ง ดุดัน โดดเด่นด้วยไฟหน้าใหม่รูปตัว C และลายเส้นอันทรงพลังบนกระจังหน้า ผสมผสานขององค์ประกอบที่มีทั้งแนวตั้งและแนวนอน

เส้นด้านข้างตัวถังทอดยาวจากด้านหน้าจรดท้ายรถเน้นการออกแบบตัวถังที่สะดุดตา ระยะฐานล้อที่กว้างและระยะระหว่างล้อหน้าและหลังที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักออกแบบสร้างสรรค์รูปลักษณ์ที่ดูล้ำสมัยและบึกบึน เช่นเดียวกับหลังคาที่รองรับน้ำหนักได้มากถึง 350 กิโลกรัมขณะรถจอดอยู่กับที่ และรับน้ำหนักได้มากถึง 100 กิโลกรัมขณะรถเคลื่อนที่ มอบการใช้งานแบบอเนกประสงค์ตั้งแต่ บรรทุกสิ่งของไปจนถึงเต็นท์บนหลังคารถ

ภายในห้องโดยสารหรูหรา สะดวกสบาย และทันสมัย ด้วยแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 8 หรือ 12.4 นิ้วขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นย่อย และยังมีหน้าจอแบบสัมผัสความคมชัดสูงขนาด 10.1 หรือ 12 นิ้ว ทำงานร่วมกับระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC® 4A พร้อมรองรับการสั่งงานด้วยเสียง ควบคุมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง และเข้าถึงข้อมูลต่างๆ รวมถึงการติดตั้งโมเด็มเพื่อเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันฟอร์ดพาส (FordPass™) ช่วยให้สามารถในการสตาร์ทรถจากระยะไกล การตรวจเช็คสถานะต่างๆ ของรถ รวมไปถึงการล็อค และปลดล็อคผ่านโทรศัพท์มือถือได้

ทีมออกแบบยังทุ่มเทในการพัฒนาอุปกรณ์และการตกแต่งภายในห้องโดยสาร โดยเลือกใช้วัสดุตกแต่งที่ให้ความรู้สึกหรูหรา และติดตั้งไฟสร้างบรรยากาศ มีแผงหน้าปัดด้านหน้าที่วางเต็มความกว้างของพื้นที่ คอนโซลกลางพร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง และที่วางแก้วน้ำแบบพับเก็บได้สำหรับเบาะคู่หน้า

ในบางรุ่นรถยังรองรับระบบการชาร์จแบบไร้สาย เกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter หุ้มด้วยหนังสวยงามจับถนัดมือ พร้อมเบรกไฟฟ้า เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง สามารถปรับอุณภูมิและระบายอากาศได้ เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง รองรับการจดจำการตั้งค่าส่วนตัวของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และเบาะนั่งแถว 2 ยังสามารถปรับอุณภูมิได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นย่อย

Ford ยังให้ความสำคัญกับเบาะนั่งที่ปรับได้หลายแบบ โดยเบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับเลื่อนได้ และพับได้แบบแบ่ง 60:40 ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 ซึ่งทำให้รถจุผู้โดยสารได้ 7 คน แบ่งที่นั่งในอัตราส่วน 50:50 และพับได้แบบไฟฟ้าสำหรับบางรุ่น ที่สำคัญเบาะแถวที่ 2 และ 3 ยังพับได้แบบแบนราบเพื่อการบรรทุกสัมภาระยาวๆ ได้ นอกจากนี้ทีมออกแบบคิดค้นวิธีการป้องกันไม่ให้ของตกเมื่อเปิดประตูท้ายรถ โดยสร้างขอบเล็กๆ ที่เรียกกันเองในทีมว่า “จุดดักแอปเปิ้ล” (Apple catcher) อีกด้วย

ด้านขุมพลังมีให้เลือกแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ประกอบด้วย เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบ ที่ให้กำลังและแรงบิดในแบบที่ลูกค้าต้องการจากเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ รวมถึงเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 ลิตร EcoBoost และเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ อีก 2 แบบ ทั้งที่จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบซีเล็กชิฟท์ 10 สปีด

Everest เจเนอเรชันใหม่ ยังมีตัวเลือกระบบการขับขี่ 4 ล้อ 2 รูปแบบ โหมดการขับขี่ออฟโรดที่หลากหลาย เฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential ตะขอคู่หน้า และช่องต่อพ่วงอุปกรณ์ออฟโรด Upfitter Switch

โดยระบบการขับขี่ 4 ล้อทั้ง 2 รูปแบบ ประกอบด้วย เกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ พร้อมการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ขณะรถเคลื่อนที่ด้วยระบบไฟฟ้า (Electronic Shift-On-The-Fly) หรือเรียกว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์ กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่มาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสูงแบบฟูลไทม์ ที่มาพร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical transfer case – EMTC) ควบคุมด้วยไฟฟ้าพร้อมโหมดการขับขี่ที่เลือกใช้งานให้เหมาะกับสภาพถนนได้ และในบางประเทศยังมาพร้อมตัวเลือกระบบการขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ นอกจากนี้ยังลุยน้ำได้สูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร และมีความสามารถในการลากจูงถึง 3,500 กิโลกรัม

ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติใหม่ใน Everest เจเนอเรชันใหม่ มีทั้งหมด  3 แบบ ขึ้นอยู่กับรุ่นและประเทศที่วางจำหน่าย ประกอบด้วย

  • ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop and Go (Adaptive cruise control with stop and go)
  • ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop and Go และควบคุมรถให้อยู่กลางช่องทาง (Adaptive cruise control with stop and go and lane centering) 
  • ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัจฉริยะ (Intelligent adaptive cruise control)

นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นและเทคโนโลยีใหม่ๆ ประกอบด้วย

  • (ใหม่) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางผสานระบบตรวจจับขอบถนน (Lane-keeping system with road-edge detection)
  • (ใหม่) ระบบช่วยหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ (Evasive steer assist) 
  • (ใหม่) ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง (Reverse brake assist)
  • (ใหม่) ระบบตรวจจับรถในจุดบอดครอบคลุมส่วนต่อพ่วง (Blind spot information system with trailer coverage)
  • ระบบป้องกันการชนเพื่อป้องกันการชนบริเวณทางแยก (Pre-collision assist with intersection functionality)

หากมีข้อมูลการเปิดตัวในประเทศไทย รวมถึงราคาจำหน่าย เราจะนำเสนอให้ทราบอีกครั้ง โปรดติดตาม…

บทความที่น่าสนใจ

Toyota Prius 2020 Edition รถยนต์ไฮบริดรุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 20 ปีในอเมริกา

idiot

BMW M ไม่สนลดขนาดเครื่องยนต์เหมือนที่ Mercedes-AMG ทำกับรถสมรรถนะสูง

idiot

ฮีโร่ตัวจริงกระทิงดุ รับหน้าที่เคลื่อนย้ายไตผู้ป่วยไกลกว่า 500 โล ในเวลาแค่ 2 ชั่วโมง

idiot

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy