ปิดฉากไปอย่างสวยงามสำหรับงาน Bangkok International Motor Show 2024 มหกรรมจัดแสดงรถยนต์สุดยิ่งใหญ่ต้นปี ซึ่งในงานครั้งนี้มีผู้คนเข้าร่วมงานมากถึง 1,610,972 คน โดยมียอดจองรถยนต์ในงานมากถึง 58,611 คัน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นยอดจองรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 17,517 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งกว่า 32.78 เปอร์เซ็นต์
จากตัวเลขข้างต้น ดูเหมือนว่าคนไทยยังให้ความสนใจในรถยนต์ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับยอดจองรถยนต์ในงาน Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งมียอดจองรถยนต์รวมในงานซึ่งมีจำนวนที่ใกล้เคียงกันด้วยตัวเลขยอดจองทั้งหมด 53,248 คัน และในจำนวนนี้เป็นยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วถึงราวๆ 20,447 คิดเป็นสัดส่วน 38.4 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับว่าในงาน Motor Show 2024 ครั้งนี้ สัดส่วนยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าภายในงาน “ลดลง” จากงาน Motor Expo 2023 อยู่ที่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่มีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าเปิดตัวรถรุ่นใหม่ภายในงานหลากหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็นแบรนด์จากฝั่งเกาหลีอย่าง Kia และ Hyundai รวมถึงแบรนด์รถยนต์จากประเทศจีน ที่มีเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่อย่างแบรนด์ BYD, GAC AION, MG รวมถึง Neta
ว่าแต่ทำไม ทั้งๆ ที่มีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีการปรับลดราคา และอัดโปรโมชั่นจูงใจมากมาย แต่ยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าภายในงานกลับลดลง สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงอะไรบ้าง เราไปวิเคราะห์พร้อมๆกันเลยครับ
กลัวติดดอย
อย่างที่เราทราบกันดีว่า แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน มีการใช้ “สงครามราคา” ด้วยการปรับลดราคาลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการอัดโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์มากมายให้กับผู้ซื้อ สิ่งนี้ทำให้ลูกค้าหลายๆคนที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าอยู่นั้น “ชะลอ” การซื้อออกไปก่อน เพราะคิดว่าในอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าอาจมีการปรับลดราคาลงอีก เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
คุณภาพของตัวรถ ยังคงมีปัญหา
สิ่งนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการซื้อรถของใครหลายๆ คน เพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไปก่อนหน้านี้หลายคน ต่างออกมาบ่นถึงปัญหาที่พบเจอในรถยนต์ไฟฟ้าที่ซื้อมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหารถดับกลางอากาศ, ฟีเจอร์บางอย่างของตัวรถไม่สามารถใช้งานได้ตามที่โฆษณา รวมถึงคุณภาพงานประกอบที่หากพูดกันตามตรง “ยังสู้รถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นไม่ได้” จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายๆคน ชะลอการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าออกไป โดยจะเห็นได้ว่าในงานครั้งนี้มีการชูป้ายประท้วงถึงคุณภาพของรถยนต์ไฟฟ้าจีนบางแบรนด์อีกด้วย
แบรนด์ญี่ปุ่น อัดโปรโมชั่นสู้ EV จีน
แบรนด์รถยนต์ฝั่งญี่ปุ่น ได้ออกมาแก้เกมส์สงครามราคาด้วยการ “อัดโปรโมชั่น” แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น ค่ายรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นที่มาตราสัญลักษณ์ตัว H ซึ่งก่อนหน้านี้แทบไม่มีส่วนลดมาจูงใจลูกค้าเลย แต่ในช่วงหลังจากการเข้ามาของรถไฟฟ้าจีน พวกเขาเริ่มอัดโปรโมชั่นให้กับรถยนต์หลากหลายรุ่น ไม่เว้นแม้กระทั่งรุ่นที่ขายดีที่สุด ก็มีส่วนลดอยู่ที่ราวๆ 100,000 – 150,000 บาท
หลายๆ คนยังมองว่า รถยนต์ไฮบริด ตอบโจทย์มากกว่า
สิ่งที่หลายๆ คนเป็นกังวลเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าก็คือ “แบตเตอรี่” ที่หากเกิดความเสียหายแล้วล่ะก็ อาจต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อแบตเตอรี่ลูกใหม่เป็นราคาประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ (กรณีที่รถไม่มีประกันภัย) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก ทำให้ลูกค้าจำนวนมากเกิดความกลัวและหันไปซื้อรถยนต์ไฮบริดมากกว่า
สถานีชาร์จ ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ
หนึ่งในปัญหาสำคัญที่ใครที่จำเป็นต้องเดินทางไกลบ่อยๆ จะมีความกังวลอย่างแน่นอน เพราะในปัจจุบันเราต้องยอมรับว่า สถานีชาร์จในต่างจังหวัดยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงเทคโนโลยีการชาร์จที่ยังคงต้องใช้เวลาชาร์จไฟนานพอสมควร ทำให้หลายๆ คนเบนเข็มในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไปเลือกรถยนต์ไฮบริดมากกว่านั่นเอง
อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการเลือกซื้อรถยนต์สักคันหนึ่ง เราอยากให้ทุกท่านได้พิจารณาถึงเงื่อนไข และปัจจัยร่วมอื่นๆ ในการใช้รถของท่าน เพื่อที่จะได้รถยนต์ที่ถูกใจ และสอดคล้องต่อการใช้งานของคุณมากที่สุด
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : Grand Prix Online