สวัสดีครับ ชาว Carvariety? ทุกท่าน ในช่วงฤดูกาลแห่งความชุ่มฉ่ำของบรรยากาศฝนตกในแต่ละวัน ที่มักได้ยินวลีเด่นกับคำว่า ?น้ำรอการระบาย? อยู่เสมอ! บรรยากาศนี้อาจจะคุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคยกับคนใช้รถหลายๆท่านก็เป็นได้ ..ยังไงก็ตามคงเป็นเรื่องที่เราๆ ท่านๆ คงต้องทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิด ?ซึ่งท่านไหนต้องขับรถผ่านไปในพื้นที่ที่ ?น้ำรอการระบาย? อยู่ละก็ใจเย็นๆ ตั้งสติให้มั่น .. หากพร้อมลุยก็ลุย !! ?หากไม่พร้อมให้จอด !! ?และรอน้ำระบายเรียบร้อยแล้วค่อยไปต่อก็ไม่ผิด..เพราะหากฝืน ขับรถผ่านไปในแบบที่ใจไม่นิ่งพอ ..งานนี้อาจจะสร้างเรื่องราวที่ไม่น่าจดจำให้กับรถคันเล็กๆ ก็เป็นได้ล่ะครับ..!!?
สำหรับในบทความนี้ ?เรามาทำความรู้จักกับเรื่องผ้าเบรกกันสักหน่อย ?เพราะในตลาดปัจจุบัน ?ผ้าเบรกมีหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่น หลากหลายประเภท จนบางครั้งก็ มึนๆ งงๆ ?… ว่าเราควรใช้แบบไหนที่จะ แจ๋วและเหมาะสมยังกับรถเรา..!! ??เพราะบางครั้งขับรถเข้าไปในร้านเบรกเพื่อเปลี่ยนผ้าเบรก ทางร้านก็มักจะเชียร์ในยี่ห้อที่ร้านเป็นตัวแทนจำหน่ายเสมอ ยิ่งแต่งตัวหล่อใส่สูตรผูกไทค์ไปด้วยล่ะก็ ?ทางร้านก็มักจะแนะนำผ้าเบรกในเกรดรถ Super Car ทั้งๆ ที่ขับ City Car เข้าไป..ซึ่งบวกลบราคาแล้วแทบเป็นลม? เพราะถ้าถามว่าใส่ได้มั้ย.? ?ซึ่งถ้าตรงรุ่นก็ใส่ได้เกรดสูงๆ น่ะ..!! ?แต่ถ้าเราไม่ได้ใช้งานแบบโหด ดุดันขนาดนั้น ?มันก็จะเหมือนกับการเอาเงิน ไปติดที่ล้อแล้วรอให้ปลิวหลุดไปตามลมแบบสูญเปล่า เป็นต้น
ดังนั้นในบทความนี้เรามาทำความรู้จักกับเรื่องของผ้าเบรกกันในแบบเข้าใจง่ายๆ เพื่อที่จะเลือกใช้ได้เหมาะสมกับรถเรากันหน่อยดีกว่า ครับ
ขอเริ่มเกริ่น และ แนะนำให้รู้จักก่อนว่าระบบเบรกในรถยนต์มีกี่แบบ ..!!
เอาแบบง่ายๆ ไม่ปวดหัว รถที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ระบบเบรกส่วนใหญ่ที่ทางโรงงานค่ายรถ ออกแบบติดตั้งมานั้น เห็นโดยรวมแบบมาตรฐานสากลของโลก ก็เห็นชัดๆ มีอยู่ 2 แบบ ก็คือ
1.แบบที่เป็น ระบบ ดรัมเบรก
ระบบ?ดรัมเบรก? เราสามารถเห็นได้ในรถปัจจุบัน รวมไปถึงรถรุ่นเก่าๆ ซึ่งระบบ ดรัมเบรก นี้ หน้าตาจะดูทะมึน กลมใหญ่ อยู่ภายในดุมล้อ ซึ่งจะมีฝาครอบดุมล้อปิดอยู่ โดยภายในจะมีปั๊มเบรกที่คอย ถ่างหรือคายผ้าเบรกออกจากดุมล้อ เมื่อเราเหยียบเบรกแรงดันจากปั๊มเบรคภายในก็จะดันถ่างผ้าเบรกให้เบียดกับดุมล้อเพื่อเกิดการเสียดทานทำให้ล้อรถหยุดหมุนได้ ในทางกลับกัน ถ้าไม่มีการเหยียบเบรก ตัวปั๊มเบรกก็จะดึงกลับให้ผ้าเบรกไม่เกิดการเสียดทานกับดุมล้อก็ทำให้รถเคลื่อนที่ได้ไปในแบบปกติ ..ซึ่งส่วนใหญ่เราจะเห็นระบบ ?ดรัมเบรก? จะติดตั้งอยู่ที่ล้อหลังของรถเก๋ง หรือ รถกระบะ ทั่วไป
2.แบบที่เป็น ระบบ ดิสก์เบรก
ระบบ ?ดิสก์เบรก? ในเบรกระบบนี้ ?เป็นระบบเบรกที่ถูกพัฒนาขึ้นมา และใช้งานกันอย่างแพร่หลายในรถยุคปัจจุบัน ซึ่งบางคันส่วนใหญ่จะเห็นติดตั้งอยู่ที่ล้อหน้า? หรือบางคันก็ใช้เป็นระบบดิสก์เบรก? ทั้ง 4 ล้อเลยก็มี ?ในระบบดิสก์เบรก จะมีการทำงานโดย มีจานดิสก์เบรกที่หมุนเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับการหมุนของล้อ? จากนั้นที่ตัวจานดิสก์เบรกจะมีปั๊มเบรก หรือ ที่เรียกกันว่า ?คาลิปเปอร์??? น่ะหล่ะติดตั้งอยู่ ?ซึ่งภายในปั๊มเบรกจะมีผ้าเบรกติดตั้งอยู่ในลักษะเหมือนกับการประกอบที่ตัวจานเบรก ?เมื่อเราเหยียบเบรกลูกสูบภายในปั๊มเบรกก็จะดันผ้าเบรกเข้ามาประกบกับจานดิสก์เบรก เพื่อให้เกิดแรงเสียดทางในการหยุดรถ? และในทางกลับกัน ?เมื่อเราไม่ได้เหยียบเบรกลูกสูบก็จะปล่อยผ้าเบรกออกจานจานดิสก์เพื่อให้รถเคลื่อนที่ไปได้แบบไม่มีแรงเสียดทานนั่นเอง
ในส่วนของการทำงาน? ทั้งระบบ ?ดรัมเบรก? หรือ ?ดิสก์เบรก? นั้นหลักการทำงานโดยละเอียด รวมถึงความแตกต่างในแต่ละแบบนั้นก็ยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกันอยู่ ?ทั้งในระบบการทำงาน รวมถึงข้อดีหรือข้อเสีย ซึ่งความแตกต่างในหลักการทำงานของระบบเบรกทั้ง 2 ประเภทนี้ ถ้ามีโอกาสจะหยิบมาอธิบายหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมในบทความถัดไป .. ซึ่งในบทความนี้ ขอให้ข้อมูลแบบกว้างๆ พอเข้าใจ เพื่อให้พอรู้จักกันว่า อย่างไหนเรียกว่า ?ดรัมเบรก?? อย่างไหนเรียกว่า ?ดิสก์เบรก? ..เพราะไม่ว่ารถคุณ จะเป็นแบบ ?ดรัมเบรก? หรือ ?ดิสก์เบรก? ก็ตาม? .. ยังไงโรงงานผู้ผลิตก็คำณวนเลือกติดตั้งมาให้เราใช้งานได้อย่างปลอดภัยแล้วล่ะครับ ดังนั้นในบทความนี้ขอมาโฟกัสในเรื่องของผ้าเบรกกันเลย เพราะเป็นสิ่งที่หากเราใช้งานจนหมดหรือครบระยะ เราก็ต้องเปลี่ยนและใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับการขับขี่ครับ
หน้าที่ของผ้าเบรก…มันมีหน้าที่อย่างไร !!
หน้าที่ของผ้าเบรก ตัวชื่อที่เรียกมันก็บอกไว้ชัดเจน ว่าเป็นอุปกรณ์ในการช่วยลดความเร็ว และ หยุดรถ ไม่ว่ารถคุณ? จะใช้ระบบ เบรกที่เป็น? ดรัมเบรก หรือ ดิสก์เบรก ยังไงก็ต้องมีผ้าเบรกเป็นส่วนประกอบในระบบการทำงานอยู่แล้ว ซึ่งลักษณะของผ้าเบรกในระบบเบรกทั้ง 2 ชนิดนี้ จะมาหน้าตาที่แตกต่างกัน
ผ้าเบรกในระบบ ดรัมเบรก .. จะมีหน้าตาเป็น เหล็กฝักโค้งๆ ตามรูปของฝักเบรกที่อยู่ภายในดุมล้อ ซึ่งตัวผ้าเบรกจะถูกหลอมอัดแน่นบนฝักเบรกโค้งๆ ?เพื่อทำหน้าที่ในการไปประกบกับดุมล้อภายใน เพื่อสร้างแรงเสียดทานในการหยุดรถ
ผ้าเบรกในระบบ ดิสก์เบรก .. จะมีหน้าตาเป็นแผ่นเหล็กแบนๆ ?ซึ่งบนแผ่นเหล็กแบนๆ นั้นจะถูกอัดแน่นด้วยเนื้อผ้าเบรก ?ซึ่งตัวผ้าเบรกจะถูกติดตั้งในปั๊มเบรกที่หันหน้าเข้าหากันโดยมีจานดิสก์เบรกอยู่ตรงกลาง โดยที่ปั๊มเบรกจะมีลูกสูบที่คอยดันผ้าเบรกออกมาประกบกับจานดิสก์เบรก เพื่อสร้างแรงเสียดทานในการหยุดรถ
ชนิดและประเภทของผ้าเบรก..ที่เราควรรู้จัก !!
ในหัวข้อนี้เรียกกว่าเป็นแกนหลักในบทความวันนี้เลยก็ว่าได้ ??เพราะชนิดหรือประเภทของเนื้อผ้าเบรกนั้น เป็นปัจจัยที่สำคัญในลำดับต้นๆเลย ที่สามารถบอกได้ว่า? ? เบรกรถเรานั้นจะมีประสิทธิภาพขนาดไหน ..จะใช้งานทนทาน..คุ้มค่าหรือไม่ ? เพราะตัวเนื้อผ้าเบรกที่แตกต่างกัน ?ประสิทธิภาพ หรือ ธรรมชาติของความรู้สึกในการเบรกก็จะแตกต่างกัน? ที่สำคัญราคาก็ต่างกันด้วย?
ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนผ้าเบรก ก็ควรเลือกเปลี่ยนผ้าเบรกให้เหมาะสมกับลักษณะการขับขี่? หรือ ให้เหมาะสมกับความจำเป็นตามการใช้งานของรถแต่ละคัน? เพื่อความปลอดภัย ใช้งานได้คุ้มค่า คุ้มราคา ตามความเหมาะสม และเกิดความปลอดภัยสูงที่สุด นั่นเองครับ?
ชนิดของผ้าเบรกที่มีจำหน่ายในตลาดในยุคปัจจุบัน ถ้าแบ่งตามกลุ่มใหญ่ๆ ตามสไตล์ผมเพื่อความเข้าใจง่ายๆก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม? คือ
1.ผ้าเบรกในกลุ่มที่ เนื้อผ้าเบรก มี ส่วนผสมของสาร Asbestos (กลุ่มผ้าเบรก Standart)
2.ผ้าเบรกในกลุ่มที่ เนื้อผ้าเบรก ไม่มี สวนผสมของสาร Asbestos (กลุ่มผ้าเบรก Semi-metallic)
ความแตกต่างของประเภทของผ้าเบรก ทั้ง 2 กลุ่ม นี้คือ..!!
1.ผ้าเบรกในกลุ่มที่ เนื้อผ้าเบรก มี ส่วนผสมของสาร Asbestos (กลุ่มผ้าเบรก Standart)
เป็นผ้าเบรกที่ใช้งานตามาตรฐานทั่วไป ใช้งานได้ง่ายสะดวก เหมาะกับการใช้งานในรถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้ความเร็วสูงมากนัก ผ้าเบรกในกลุ่มนี้ราคาอาจไม่สูงมาก และสามารถทำงานได้ดีในช่วงตั้งแต่ความเร็วต่ำ เบรกจับได้แน่นและค่อนข้างนุ่มนวลและไม่กินหรือทำให้จานเบรกเป็นรอยมากนัก.. แต่ข้อเสียคือ อาจมีฝุ่นผงของเศษผ้าเบรกเป็นละอองออกมาปะปนในอากาศ หรือสร้างคราบสกปรกติดที่ล้อรถได้ ?ซึ่งผ้าเบรกในกลุ่มนี้ไม่เหมาะกับการใช้งานในลักษณะของการเบรกหนักๆ ในความเร็วที่สูงต่อเนื่องบ่อยๆ ?เพราะผ้าเบรกในกลุ่มนี้ เมื่อมีความร้อนสะสมมากๆ ?ประสิทธิภาพจะลดลง หรือ หากความร้อนสะสมในตัวผ้าเบรกมีมากจนไม่สามารถคลายตัวได้ในช่วงเวลานั้น ?อาจส่งผลให้เกิดอาการเบรก Fade ในระบบเบรกได้ (อาการเบรก Fade คือ อาการที่เบรกหาย หรือ การที่เหยียบเบรกไปแล้วไม่มีแรงดันในระบบเบรก ..จึงไม่สามารถหยุดรถได้..หากเกินอาการนี้เมื่อไหร่ ท่องไว้ครับ สติๆๆ ..พยายามลดความเร็วด้วยเกียร์ / ค่อยๆ ดึงสลับปล่อยเบรกมือ / ประคับประคองทิศทางรถให้ดีครับ ที่เหลือก็อาศัยประสบการณ์ความสามารถพิเศษที่ผู้ขับขี่มีติดตัวมาครับ)
2.ผ้าเบรกในกลุ่มที่ เนื้อผ้าเบรก ไม่มี สวนผสมของสาร ?Asbestos (กลุ่มผ้าเบรก Semi-metallic)
ผ้าเบรกในกลุ่มนี้อาจดูแล้ว มีความพิเศษกว่าในกลุ่มแรก แต่ก็แน่นอนราคาค่าตัวอาจจะสูงกว่าตามลำดับ ซึ่งผ้าเบรกในกลุ่มนี้ ตัวเนื้อผ้าเบรกจะไม่มีการผสมสาร Asbestos แต่จะผสมสารต่างๆ ในกลุ่ม metallic ลงไปในเนื้อผ้าเบรก ..ซึ่งผ้าเบรกในกลุ่มนี้เหมาะที่เรานำมาใช้กับรถที่เน้นในเรื่องของความเร็วสูงๆ และต้องใช้เบรกบ่อยๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ?เพราะตัวผ้าเบรกสามารถรองรับงานหนักและสามารถทนความร้อนได้สูงวกว่าแบบแรก .. แต่นอกจากข้อดีที่สามารถมองเห็นได้ในความแตกต่างแล้ว ?ผ้าเบรกในกลุ่มนี้ก็ยังมีข้อเสียในตัวมันเองด้วย เช่น ผ้าเบรกในกลุ่มนี้ ในช่วงเวลาที่เบรกเย็นตัวอาจจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่เบรกอาจมีลื่นหรือไหลบ้างต้องรอเวลาหรือได้รับการ Warm หรือ มีความร้อนสะสมสักนิดความสามารถในปการเบรกก็จะสูงขึ้น ?จากนั้นขอเสียอีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างก็คือ ตัวผ้าเบรกจะมีความทนทานสูงแต่อาจส่งผลเสียกับจานเบรกที่จะทำให้จากเบรกสึกหรอไปได้อย่างรวดเร็ว หรือ มักสร้างรอยต่างๆ ให้เกิดขึ้นบนจานดิสก์เบรกได้
เราควรเลือก..ใช้ผ้าเบรกให้เหมาะสม..กับรถเราอย่างไร..!!
เมื่อถึงระยะเวลาที่ต้องเปลี่ยนผ้าเบรก หลายๆ ท่านก็คงเห็นว่าในตลาดผ้าเบรกมีตัวเลือกมากมาย..หลายยี่ห้อ แล้วจะเอายี่ห้อไหนดีนะ ซึ่งแต่ละค่ายราคาก็แตกต่าง อยากจะใช้ราคาถูกแต่ก็กลัวว่าจะเบรกไม่อยู่อีก อยากจะใช้แพงๆ เกรดสูงๆ ก็เป็นกังวลกับเงินในกระเป๋าสตางค์อีก .. เอางัย.!! ละทีนี้ อยากจะเลือกแบบที่ถูกตังค์แต่ใช้ดี ..โจทย์ข้อนี้ดูยากละ
ดังนั้น..ถ้าเปลี่ยนความคิดหรือตั้งคำถามนี้ใหม่..ลองมามองว่า..?จะเลือกใช้ผ้าเบรกแบบไหนให้เพียงพอต่อการใช้งาน? ?สิ น่าจะเจอคำตอบแบบที่ถูกใจได้ไม่ยาก ที่บอกแบบนี้ …ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนา มาแนะนำว่า ไม่เห็นความสำคัญของผ้าเบรกนะ แต่อยากจะบอกว่า ควรใช้เกรดที่เพียงพอต่อการใช้งาน หรือ ตามสเปคในคู่มือที่โรงงานผู้ผลิตกำหนดไว้ก็เพียงพอแล้วครับ จากนั้นส่วนที่เหลือก็ดูแลความสมบูรณ์ในระบบเบรกและส่วนควบอื่นๆ และ ใช้ความเร็วให้ถูกต้องเหมาะสมกับตัวรถก็เพียงพอแล้วล่ะครับ
เพราะที่บอกแบบนี้ ในบางที ผมเห็นรถบ้านเดิมๆธรรมดาที่คุณผู้หญิงขับแบบไม่ได้ใช้ความเร็วสูงๆ ให้ใช้ความเร็วสูงแบบต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ แต่กลับไปใส่ผ้าเบรกเกรด Semi-metallic (Racing) จัดเต็มกันเลยทีเดียว .. ผมเกรงว่ามันจะสิ้นเปลืองเกินไปน่ะหล่ะครับ และที่สำคัญเปลืองเรื่องงบประมาณราคาผ้าเบรกไม่พอ เวลาเบรกแต่ละครั้งอาจจะรู้สึกว่าไม่ค่อยหนึบ รถไม่ค่อยหยุดดูไหลๆ เนื่องจากอุณหภูมิผ้าเบรกไม่ถึง ก็กลายเป็นโทษระบบเบรก หรือ โทษผ้าเบรกไม่ดี เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยกันใหญ่ ทีนี้มันจะส่งผลให้เกิดการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดบานปลายไปใหญ่ ดังนั้นจุดหลักที่สำคัญ ..เราควรตรวจสอบความสมบูรณ์ของระบบเบรกอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ระดับน้ำมับเบรกต้องอยู่ในระดับ ไม่ยุบหรือต่ำลงอย่างรวดเร็ว เพราะนั่นหมายถึงระบบเบรกมีการรั่วของแรงดันหรือผ้าเบรกสึกหรอจนใกล้หมด..จานดิสก์เบรกเป็นรอยขูดลึก..มีเสียงดังมากเมื่อใช้เบรก..ระยะการดึงคันเบรกมือระยะการดึงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ นี่คืออาการผิดปกติทีเกิดขึ้นในระบบเบรกที่ต้องตรวจสอบและให้ความสำคัญในการแก้ไข …จากนั้นก็..เลือกใช้ผ้าเบรกในเกรดที่เพียงพอต่อการใช้งานครับ เท่านั้นล่ะ ทุกอย่างจะจบลงตัวแบบ Happy โดยการเลือกเกรดผ้าเบรกที่เหมาะสม ผมขอแนะนำเป็นมุมมองกว้างๆตามกลุ่มการใช้งาน ตามประสบการณ์ของผมดังนี้
– รถบ้าน ใช้งานเดินทางในเมืองหลวง / ไปทำงาน / ช้อปปิ้ง / ออกต่างจังหวัด นานๆ ครั้ง ..ในสไตล์นี้ ใช้ผ้าเบรก ในเกรด Standart ที่ไม่มีส่วนผสมของโลหะ ก็เพียงพอแล้วครับ ใช้งานง่ายสะดวก ไม่ต้องรออุณหภูมิที่สูงมาก เบรกก็เริ่มทำงานได้ดีในช่วงต้นๆ แล้วครับ
-รถแต่งซิ่ง อัพสเต็ป / หรือ คนรักความเร็ว / เดินทางต่างจังหวัดใช้ความเร็วสูงๆ ยาวๆ บ่อยๆ .. ในการใช้รถสไตล์นี้ ขยับมาใช้ผ้าเบรกใน กลุ่มผ้าเบรก Semi-metallic ก็ได้ครับ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นใจ ความทดทานของการสึกหรอของระยะผ้าเบรกได้อีกระดับหนึ่ง .. เนื่องจากอาจต้องใช้เบรกเยอะ ความร้อนสะสมเยอะเวลาใช้งาน จะได้ไม่เกิดอาการเบรก Fade แต่ช่วงเริ่มการใช้งานในตอนเบรกยังเย็นตัว? ควรรอให้อุณหภูมิสะสมในผ้าเบรกสูงสักนิดนะครับ เพราะ ในช่วงเริ่มการใช้งานใหม่ๆ? ความร้อนในเบรกยังไม่สูงมาก ลักษณะการเบรกอาจจะมีอาการไหลๆ ลื่นๆ อยู่บ้าง ก็ตามสไตล์ผ้าเบรกใน เกรดนี้
-รถตู้ / รถโดยสาร / รถกระบะที่ขนของหนักๆ ลุยทางไกล ขึ้นเขาลงห้วยเป็นประจำ .. งานนี้ ไม่ต้องคิดมาก ?จัดเต็มเลยครับเรื่องผ้าเบรก ใช้เกรดดีหน่อย มองใน กลุ่มผ้าเบรก Semi-metallic เลยครับ เพราะใช้งานคุ้มแน่นอน ที่สำคัญรถในกลุ่มนี้ต้องใช้งานเบรกบ่อย..เจอความร้อนที่สะสมสูงๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทางยาวๆ? รถหนัก ขึ้นเขาลงเขาบรรทุกสิ่งของต่อเนื่องยาว ๆ งานนี้ เรื่องเบรกต้องสำคัญ จัดเต็มเลยอย่าได้ประหยัดตรงจุดนี้ การใช้งานรถในกลุ่มนี้ต้องตรวจสอบระบบเบรกและส่วนควบทั้งระบบ ทุกระบบเป็นประจำ ครับ เพราะรถใช้งานหนักต่อเนื่องความสึกหรอย่อมเกิดได้มากและเร็วกว่าการใช้งานในรูปแบบอื่นๆ
ทั้งหมด ที่เขียนมาซะเยอะแยะ ยืดยาว เบื่อกันป่าวไม้รู้… คิดซะว่า ผมมาโม้.!! ให้อ่านกันก็ได้..ไม่ว่ากัน แต่ทั้งหมดก็เป็นข้อมูลเบาๆ ที่ผมนำมาแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือความคิดเห็นกันสำหรับคนที่รักรถ ล่ะครับ ใครอ่านแล้ว มีประสบการณ์จะแลกเปลี่ยน หรือ แสดงความคิดเห็น ก็แลกเปลี่ยน หรือ แชร์เข้ามาก็ได้นะครับไม่ว่ากัน หลายๆ ความคิดเรามามีส่วนร่วมช่วยกันแชร์ข้อมูล ช่วยกันแนะนำเพื่อการใช้รถอย่างปลอดภัย สบายใจทุกการเดินทางล่ะครับ .. จุ๊บๆๆ !!