บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ MG อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ได้ประกาศเผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง MG ES รถยนต์ไฟฟ้าตัวถัง Wagon วิ่งได้ไกลสุด 412 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง
สำหรับ MG ES ในความเป็นจริงแล้วมันก็คือ MG EP ที่ได้รับการอัปเกรดใหม่แทบทั้งคัน โดยทางเอ็มจีได้ให้คอนเซปต์ของรถคันนี้ไว้ว่า Comfortable เป็นทุกอย่างเพื่อทุกโมเมนต์ สะดวกสบายในทุกการเดินทาง โดยรถคันนี้จะยังคงใช้แนวคิด Brit Dynamic ทั้งในเรื่องของดีไซน์ภายนอกและภายใน สมรรถนะการขับขี่และการควบคุม รวมถึงออปชั่นความปลอดภัยที่ใส่มาในรถคันนี้อย่างครบครัน
เริ่มกันที่ดีไซน์ภายนอกของ MG ES ที่ต้องบอกตามตรงว่าดูทันสมัยและโฉบเฉี่ยวเพิ่มขึ้นจาก MG EP อยู่มากพอสมควร เริ่มกันที่ชุดกระจังและกันชนด้านหน้าดีไซน์ใหม่ที่ในคราวนี้มาในสไตล์เรียบแบบปิดทึบสีเดียวกับตัวรถ แต่ยังมีช่องดักลมด้านล่างแบบซี่ตั้ง พร้อมด้วยชุดไฟหน้าแบบ LED ดีไซน์ใหม่ที่มีความเพรียวบางมากยิ่งขึ้นพร้อมด้วยไฟ Day Time Running Light โดยทาง MG ยังเคลมว่ามันจะให้ความสว่างที่มากกว่าไฟหน้ารุ่นเดิมถึง 144%
เส้นสายด้านข้าง ยังคงดูคล้ายกับเจ้า EP ซึ่งจะเน้นเส้นสายที่ดูเรียบ ไม่ซับซ้อน และยังคงมีราวหลังคามาให้เหมือนเดิมซึ่งรองรับน้ำหนักบรรทุกสูงสุดที่ 75 กิโลกรัมต่อจุด แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปนั่นก็คือ ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 17 นิ้วแบบทูโทน ช่วยเพิ่มความโดดเด่นและความสปอร์ตให้กับ MG ES ได้ไม่น้อย
มาถึงดีไซน์ด้านท้ายของตัวรถที่ถูกปรับเปลี่ยนไปพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นชุดไฟท้ายแบบ LED Light Curtain Design ใหม่ มองเห็นได้ชัดและมีเอกลักษณ์ยามค่ำคืน เสริมด้วยชุดกันชนท้ายใหม่ที่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้ดูโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น
เมื่อเข้ามาภายในห้องโดยสาร จะพบกับการตกแต่งด้วยโทนสีดำ-เงิน พร้อมด้วยเบาะนั่งโดยสารตัวใหม่หึ่มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ DENIM TEXTURE DESIGN ซึ่งให้สัมผัสคล้ายกับผ้าของกางเกงยีนส์ ซึ่งทางเอ็มจีระบุว่ามีการใช้เทคโนโลยี Zero-G Seat สามารถรองรับสรีระของผู้ขับและผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทางสำหรับเบาะคนขับ และปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางสำหรับผู้โดยสาร
บริเวณคอนโซลหน้าและแผงข้างประตู มีการตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินพร้อมด้วยลูกเล่นแถบสีฟ้า Energetic Blue Strip พร้อมด้วยหน้าจอมาตรวัดแบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รองรับระบบ Apple Carplay และ Android Auto
สำหรับขุมพลังของ MG ES ทางผู้ผลิตระบุว่ามีการยกเครื่องใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มส่งกำลังใหม่ SAIC EI Three – Eletric System รวมถึงมอเตอร์ไฟฟ้าเจนเนอเรชั่นใหม่ 8-Layer Hair Pin Permanent Magnetic Synchronous Motor (PMSM) ให้พละกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 177 แรงม้า และแรงบิด 280 นิวตัน-เมตร มาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบ LFP ขนาด 51 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุดที่ 412 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) สามารถชาร์จไฟจาก 0% – 80% ได้ภายในเวลา 40 นาที รองรับ DC Charge สูงสุดที่ 87 kW
นอกจากนี้ทางเอ็มจียังได้มีการปรับปรุงระบบช่วงล่างใหม่ให้ดีขึ้นจากรุ่น EP ซึ่งทางผู้ผลิตได้เรียกระบบช่วงล่างใหม่นี้ว่า Euro Tuning Suspension ให้การทรงตัวที่ดี ขับสนุก แต่ยังคงให้ความสบายแก่ผู้ขับและผู้โดยสาร
ด้านออปชั่นและระบบความปลอดภัยของ MG ES เรียกได้ว่าให้มาแบบครบๆ ดังต่อไปนี้
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Brake Hold
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS
- ระบบควบคุมเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS
- ระบบช่วยเตือน เมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า FCW
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS
- ระบบตรวจสอบระดับแรงดันลมยาง TPMS
- ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC
- ระบบช่วยควบคุมให้รถอยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่ออยู่นอกเลน ELK
- ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลม)
สำหรับราคาค่าตัวของ MG ES จะมีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการในงาน Motor Show ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่22 มีนาคม – 2 เมษายน 2023 โดยจะมีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 5 สีได้แก่ สีขาว Arctic White, สีดำ Black Knight, สีเทา Andes Gray, สีแดง Scarlet Red และสีเงิน Champagne Silver