Ford ได้เปิดเผยว่าเทรนด์ประจำปี 2019 เป็นเสมือนพิมพ์เขียวที่ทำให้เข้าใจว่า รูปแบบพฤติกรรมหลักๆ ของผู้บริโภคทั่วโลก มีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อผู้บริโภคเอง รวมถึงองค์กรต่างๆ และในอนาคตได้
โดย Ford เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นตลอดเวลานั้น ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ในหลายๆ ด้าน และ Ford ได้จับตามองเทรนด์ของโลกเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค และเรียนรู้เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ซึ่งเทรนด์ในปี 2019 ของ Ford มีดังต่อไปนี้
- เทคโนโลยีล้ำโลก เทคโนโลยีมีผลกระทบเชิงลึกต่อการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกและการมองโลกมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังมีความขัดแย้งระหว่างคนที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและเชื่อว่าเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีกับคนที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ฟอร์ดใช้เทคโนโลยีช่วยให้การสัญจรของคนทั่วโลกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้นและใช้งานได้สะดวกขึ้น ฟอร์ดใส่ใจในการใช้เทคโนโลยีรวมไปถึงการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีอย่างฉลาด รอบคอบ เพื่อสร้างคุณค่าในชีวิตประจำวัน ในบางเมือง ฟอร์ดได้ร่วมมือกับคณะบริหารจัดการปัญหาในเมืองเพื่อช่วยให้ผู้คนสัญจรได้อย่างอิสระขึ้น
- ดิจิตอล ดีท็อกซ์ ถึงแม้มนุษย์จะติดสังคมก้มหน้า ผลการสำรวจพบว่าผู้คนตื่นตัวกันมากขึ้นในเรื่องการพึ่งอุปกรณ์ต่างๆ มากเกินไป และพยายามควบคุมเวลาที่ตัวเองใช้ไปกับสังคมออนไลน์ ฟอร์ดศึกษาผลกระทบทางสมองจากการขับรถแข่งสมรรถนะสูง โดยใช้ข้อมูลจากการวิจัยเกี่ยวกับ “ช่วงเวลาระทึก” ที่อาจกระทบต่อสวัสดิภาพของผู้ขับขี่ เพื่อพัฒนาประสบการณ์การขับขี่พร้อมสร้างความตระหนักเรื่องการขับขี่ที่ปลอดภัย
- ทวงคืนการควบคุม ในโลกที่ใครหลายๆ คนรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ผู้บริโภคต่างหาหนทางในการใช้ชีวิตโดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาตนเอง เนื่องจากฟอร์ดได้ยึดถือกระบวนการออกแบบโดยยึดความต้องการของมนุษย์เป็นที่ตั้ง ฟอร์ดจึงได้ทำการวิจัยเพื่อศึกษาความต้องการและลักษณะนิสัยของผู้บริโภค ตั้งแต่อาจารย์มหาวิทยาลัย นักไตรกีฬา ไปจนถึงบุคคลทั่วไป ฟอร์ดได้นำผลการวิจัยครั้งนี้ไปพัฒนาเครื่องมือและยานพาหนะ อาทิ ฟอร์ด โคไพล็อต 360TM ซึ่งออกแบบมาเพื่อแบ่งเบาภาระในการขับขี่และเสริมความมั่นใจว่าพาหนะของตนจะพร้อมรับสถานการณ์ตึงเครียดบนท้องถนนได้
- ตัวตนที่หลากหลาย ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีบทบาทมากในชีวิตของผู้บริโภค หลายคนจึงแสดงออกด้วยตัวตนที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ เช่น การเป็นตัวเองในชีวิตจริงแต่เป็นอีกตัวตนหนึ่งในสังคมออนไลน์ ซึ่งส่งผลต่อสิ่งที่พวกเขาซื้อ สวมใส่ และขับขี่ รวมไปถึงเทคโนโลยีที่พวกเขาใช้ ฟอร์ดเข้าใจดีว่ารถยนต์เป็นวัตถุที่สะท้อนตัวตนของผู้ขับขี่ ด้วยเหตุนี้รถยนต์จึงถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ความต้องการส่วนตัวไปพร้อมกับนำเสนอตัวตนของผู้ขับขี่ เช่น ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ เป็นรถกระบะขนาดกลาง ลงตัวทุกการใช้งาน ผู้บริโภคสามารถสัญจรไปทำงานในเมืองได้และมีความสมบุกสมบันพอที่จะไปท่องเที่ยวเชิงผจญภัยได้ในวันหยุด
- ชีวิตและการทำงาน มุมมองที่มีต่อชีวิตการทำงานได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อคนทุกวันนี้ทำงานเพื่ออยู่ แทนที่จะอยู่เพื่อทำงาน บริษัทต่างๆ ก็ตอบแทนด้วยสิทธิประโยชน์ วันหยุดพักร้อนรวมไปถึงโอกาสให้ลูกจ้างได้พัฒนาสภาพจิตใจ ฟอร์ดเชื่อว่าความสามารถของคนจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อได้รับการสนับสนุนให้ออกไปเผชิญโลกภายนอกและคืนกำไรสู่สังคมที่อยู่ โครงการหนึ่งของฟอร์ดได้ส่งพนักงานอายุต่ำกว่า 30 ปี ออกไปเรียนรู้เกี่ยวกับองค์กรเพื่อสังคมและวางกลยุทธ์ในการเข้าถึงผู้บริจาคและอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือพวกเขาในการพัฒนาสังคม
- เพื่อสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนนิสัยที่มีมานานอาจเป็นเรื่องยาก แต่ผู้บริโภคเห็นตรงกันว่ากระบวนการทางสิ่งแวดล้อมจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมคน และหลายคนก็เสาะหาหนทางพัฒนาสานต่อสิ่งที่ตนเองได้สร้างไว้ การพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นสำคัญต่อสภาพสิ่งแวดล้อมและความสำเร็จของฟอร์ดเอง ฟอร์ดยังคงเน้นการลดสารพิษที่ปล่อยจากยานพาหนะ ด้วยการร่วมลดการปล่อยสารคาร์บอนไดออกไซด์ ตามข้อตกลงปารีส โดยได้เริ่มนำร่องการลงทุนประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 16 รุ่น ในจำนวนทั้งหมด 40 รุ่นทั่วโลกที่จะแล้วเสร็จในปี 2022
- ขับง่ายสบายใจ การสัญจรบนท้องถนนไม่ได้มีแค่จุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทาง แต่ยังรวมถึงสิ่งที่เราทำระหว่างทางด้วย ชาวอเมริกันใช้เวลาบนรถมากกว่าเวลาพักร้อน นั่นหมายความว่าสิ่งที่ทำบนรถจะช่วยเปลี่ยนประสบการณ์บนท้องถนนเดิมๆ ฟอร์ดเชื่อว่ารถที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองจะลดความเหนื่อยล้าในสังคม พร้อมกับขยายหนทางการสัญจรรวมถึงการส่งของ ฟอร์ดร่วมมือกับบริษัทอื่นๆ เพื่อศึกษาว่า การส่งของด้วยรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองนั้นสามารถพัฒนาอย่างไรได้บ้าง ตัวอย่างเช่น โครงการนำร่องที่ฟอร์ดทำร่วมกับวอลมาร์ทและโพสเมทส์ ที่ศึกษาว่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองจะช่วยส่งเสริมการขนส่งถึงบ้านได้อย่างไร
ถือเป็นมุมมองของ Ford ว่าการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมนี้