เพิ่งเปิดตัวกันไปไม่นานกับรถยนต์ ECO CAR ขวัญใจวัยรุ่น รุ่นปรับโฉมใหม่ NEW HONDA CITY 2023 ที่ได้มีการปรับปรุงหน้าตาภายนอกภายในให้หล่อเท่ห์มากขึ้น ดูสปอร์ตขึ้นไปอีกขั้น ด้วยกระจังหน้า กันชนหน้า กันชนหลัง และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ภายในมากับสีใหม่เพิ่มความสปอร์ตพรีเมียมโดนใจมากกว่าเดิม มาพร้อมกับสองขุมพลังทั้งเครื่องยนต์ รุ่น e:HEV และรุ่น TURBO ที่ขับสนุกเร้าใจตั้งแต่ออกตัว
สำหรับกิจกรรมในวันนี้ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้เชิญ สื่อมวลชนทดสอบสมรรถนะ “HONDA CITY ใหม่” ซิตี้คาร์ยอดนิยม บนเส้นทางที่สะท้อนทั้งความแรงและประหยัดน้ำมัน จากกรุงเทพฯ สู่จังหวัดสิงห์บุรีรวมระยะทางกว่า 260 กิโลเมตร และยังเป็นครั้งแรกของผมที่เข้าร่วมแข่งขันขับประหยัดน้ำมันแบบจริงๆจังๆ ก็แอบเกร็งพอตัว ปกติแล้วถ้าแข่งกันว่าใครถึงจุดหมายก่อนกันแบบนั้นน่าจะถนัดมากว่า โดยการทดลองขับครั้งนี้จะเป็นออกเป็นสองกลุ่มระหว่างรุ่นเครื่องยนต์ e:HEV และ รุ่นเครื่องยนต์ TURBO โดยแต่ละกลุ่มจะมีรถยนต์ทั้งหมด 4 คัน เราถูกจัดให้อยู่ในรุ่นเครื่องยนต์ TURBO ที่สำคัญรถยนต์คันเรามีสมาชิกมากว่าคันอื่นในกลุ่มซะอีก มีผู้โดยสายรวมคนขับทั้งหมด 3 คน น้ำหนักอาจจะเสียเปรียบคันอื่นเล็กน้อย ก็ต้องไปวัดกันที่จังหวะและทักษะ เมื่อพร้อมแล้วก็ลุยกันเลย!
ก่อนที่เราจะไปพูดถึงเทคนิคการขับรถยนต์ยังไงให้ประหยัดน้ำมันกันเพื่อเซฟเงินในกระเป๋า เรามาพูดถึงรถยนต์ที่ใช้เดินทางในวันนี้กันก่อนนั้นก็คือเจ้า NEW HONDA CITY 2023 รุ่น VTEC TURBO เครื่องยนต์ขนาด 1.0 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแปรผันต่อเนื่อง CVT ที่ให้อัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุดถึง 23.8 กม./ลิตร บอกเลยว่างานนี้เกร็งพอควร เนื่องด้วยเราเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วในการทดสอบทริปนี้ โดยกลุ่มก่อนหน้านี้ได้ทำอัตราเฉลี่ยการบริโภคน้ำมันสำหรับตัวเครื่องยนต์เทอร์โบไว้ที่มากกว่า 30 กิโลเมตร/ลิตร ทุกกลุ่มเลย จึงเป็นโจทย์ให้เราได้ท้าทายแข่งกับตัวเองว่าจะทำได้ 30 กิโลเมตร/ลิตร ไหม เราเริ่มสตาร์ทเช็ตศูนย์ ลงเวลาออกเดินทาง กันที่ ศูนย์ฝึกอบรม ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย ซอย เสรีไทย 87 โดยมีเงื่อนไขการเดินทางต้องไปถึงจุดหมายโดยใช้เวลาไม่เกิน 2.30 ชั่วโมง ถ้าใช้เวลาเกินจะเป็นการแพ้ฟาล์วทันที
ผมรับผิดชอบเป็นไม้แรกต้องฝ่ารถติด เผื่อขึ้นมอเตอร์เวย์ และอีกหนึ่งฟังก์ชั้นที่ดีมากสำหรับการเดินทางแบบนี้ก็คือ google map ซึ่งใช้งานสะดวกมากเพราะ NEW HONDA CITY 2023 สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ Apple CarPlay และ Android Auto ได้แบบไร้สาย ผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced ซึ่งเชื่อมต่อง่ายสะดวกสบายสุดๆ ไม่ต้องใช้สายมาเสียบให้เกะกะ ทีนี้เราก็สามารถคำนวณระยะทางกับเวลาได้แล้ว การเดินทางในครั้งนี้ผมจะใช้ความเร็วอยู่ที่ประมาณ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีเงื่อนไขว่า จะทำทุกวิธีทางให้เลี่ยงการใช้เบรกให้มากที่สุด และต้องเลี้ยงคันเร่งให้นิ่ง รักษารอบเครื่องให้สม้ำเสมอ ไม่มีการคิกดาวน์เลยสักครั้ง ใจจริงถ้าไม่เกร็งใจสื่อมวลชนภายในรถกะว่าจะปิดแอร์วิ่งด้วยซ้ำ ฮ่าๆ แต่อย่าเลยเพราะวันนี้อากาศร้อนมาก เกรงว่าจะไม่เหมาะ ผมเปิดแอร์ประมาณ 26 องศา พัดลมเบอร์ 1
โดยระหว่างการเดินทางเราเลี้ยงคันเร่งนิ่งๆเดินทางไปเรื่อยๆดูตัวเลขเฉลี่ยการบริโภคน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆผ่านหน้าจอ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว เรามาพูดถึงตัวรถกันหน่อยว่ามีจุดเด่นอะไรที่หน้าสนใจกันบ้าง อย่างที่ผมบอกไปว่าการมาครั้งนี้ของ
NEW HONDA CITY 2023 ได้มีการปรับลุคให้หล่อเท่ห์ดูสปอร์ตกว่าเดิม ด้วยกันชนหน้ากระจังหน้าแบบดีไซน์สปอร์ตแบบ RS พร้อมไฟหน้า-หลังแบบ LED สเกิร์ตข้าง ดีไซน์สปอร์ตแบบ RS ล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้วแบบทูโทน สปอยเลอร์หลัง กันชนหลังก็เป็นแบบดีไซน์สปอร์ตแบบ RS เช่นกัน จึงทำให้ NEW HONDA CITY 2023 ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวมากกว่าเดิม ภายในก็ได้มีการตกแต่งเพิ่มเติมด้วยสีแดงที่คอนโซลหน้ารถ พร้อมเดินด้ายสีแดงที่พวงมาลัย เกียร์ เบาะนั่ง และประตู และที่สำคัญ NEW HONDA CITY 2023 ยังมาพร้อมกับ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์ คนเดินถนน จักรยาน และจักรยานยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย 6 ฟังก์ชันการทำงานหลัก ๆ ดังนี้
-
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC) (รุ่น V, SV และ RS)
พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (with Low-Speed Follow: with LSF)
(รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS) - ใหม่ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
พร้อมด้วยเทคโนโลยีและความปลอดภัยครบครัน อาทิ
-
- ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) (รุ่น e:HEV RS)
- กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS)
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)
- ระบบ Auto Brake Hold (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)
- ถุงลมคู่หน้า
- ถุงลมด้านข้างคู่หน้า
- ม่านถุงลมด้านข้าง (รุ่น RS และ e:HEV RS)
- ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock by Speed)
- ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
- ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start)
- ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ
- เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าและหลังแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง
- ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย
- ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)
- จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)
- ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
- ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)
- สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
เป็นยังไงกันบ้างต้องบอกเลยว่าจัดเต็มจริงๆ กลับมาที่การขับขี่กันต่อ ตอนนี้เราได้ทำเกินที่ทางโรงงานเครมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 23.8 กิโลเมตร/ลิตร ต้องบอกเลยว่าไม่ยาก 23.8 กิโลเมตร/ลิตร นี้ถ้าทางยาวไม่ได้เร่งรีบอะไรมากนักตัวเลขนี้มีเห็นแน่นอน แต่เป็นที่หน้าเสียดายสำหรับผมมากที่ตั้งเป้าไว้ที่ 30 กิโลเมตร/ลิตร นั้นไปไม่ถึง เนื่องด้วยสภาพการจราจรต่างๆนั้นไม่เป็นใจเอาสะเลย รถบรรทุกก็เยอะมาก แถมยังมีรถยนต์จอดเสียระหว่างทางซะอีก จึงทำให้ระยะแรกที่ผมทำได้อยู่ที่ 28.8 กิโลเมตร/ลิตร อาจจะไม่ถึง 30 กิโลเมตร/ลิตรที่ตั้งใจไว้ สำหรับมือใหม่ขับประหยัดอย่างผมทำได้ 28 กิโลเมตร/ลิตร ในระยะทาง 77 กิโลเมตรสำหรับช่วงแรกในสภาพการจราจรที่ไม่เป็นใจ ถึงว่าผมโอเคมากๆเลยสำหรับตัวเลขที่เห็น
ด้วยกติกาที่ต้องสลับผู้ขับระยะทางที่เหลือประมาณ 56 กิโลเมตร ส่งไม้ต่อให้สื่อมวลชนท่านต่อไปสภาพการจารจรค่อนข้างโล่ง ซึ่งเป็นช่วงที่หน้าปั้นตัวเลขมาก ซึ่งตอนนี้หน้าจอโชว์ที่ อยู่ที่ 29 กิโลเมตร/ลิตร แล้ว แต่! เราก็ไปไม่ถึง 30 กิโลเมตร/ลิตร สักทีเพราะถ้าเราขับแค่ 60-70 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะเข้าไม่ทันเวลา จึงจำใจที่ต้องเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น ซึ่งแน่นอนครับว่าเวลาเรารีบ เราก็จะแซง คิกดาวน์ ทดเกียร์ที่ Paddle Shift มาหมด เหตุผลเพราะว่าเราต้องเข้าให้ทันเวลาจึงทำให้อัตราเฉลี่ยลดลงอยู่ที่ 27 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถ้าเทียบกับกลุ่มแรกๆที่ทดสอบกันเราอาจจะไม่ดีนัก แต่ถ้าไม่เทียบกับใครแล้วมองตัวเลขอย่างเดียวบอกเลยว่า โคตรประหยัดเลย! แต่ถ้าหวังรางวัลคงต้องไปลุ้นผลของอีกสามคันที่เหลือ ซึ่งเค้าจะกลับไปประกาศผลกันที่ ศูนย์ฝึกอบรม ฮอนด้า ออโตโมบิล
เมื่อทานข้าวเสร็จเรียบร้อยขากลับได้มีการสลับรถยนต์กันระหว่างกลุ่มที่ขับเครื่องยนต์รุ่น e:HEV กับรุ่นเครื่องยนต์ TURBO โดยขากลับไม่ได้มีการแข่งขันประหยัดน้ำมันแล้ว โล่งใจหน่อย สำหรับขุมพลังฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และ แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน มอบแรงบิดมอเตอร์สูงสุด ที่ 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที และยังให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 83 กรัม/กิโลเมตร รองรับพลังงานทางเลือก E20 ทั้งนี้ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV จะปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ให้โดยอัตโนมัติตามความเหมาะสม ประกอบด้วย 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode)
สำหรับขากลับบอกเลยว่าจัดเต็มวิ่งฟรีรันใส่เต็มที่ไม่ได้สนใจแล้วเรื่องการประหยัดแล้ว บอกเลยว่ารถขับดีมาก อัตราเร่งดี ตอบสนองได้แบบทันใจ พวงมาลัยแม่นยำน้ำหนักกำลังดี ช่วงล่างโอเคเลยไม่ยวบยาบขนาดนั่ง 3 คน ด้านหน้าเป็นแม็คเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีม ภายในของรุ่น e:HEV มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS) ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS) ลำโพง 8 ตำแหน่ง (รุ่น RS และ e:HEV RS)
ใช้เวลาไม่นานเราก็ถึงจุดหมายเป็นที่เรียบร้อยเสร็จสิ้นการทดสอบรถยนต์ NEW HONDA CITY 2023 ในครั้งนี้ ระหว่างรอผลคะแนนการแข่งขันขับประหยัดน้ำมัน ขอบอกก่อนเลยว่าครั้งนี้ไม่เป็นการเขียนรีวิวรายละเอียดตัวรถยนต์แบบเจาะลึกเหมือนที่ผ่านมาเพราะ NEW HONDA CITY 2023 ได้มีการเปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รายละเอียดต่างๆของตัวรถยนต์เราได้ทำลงไปหมดแล้วครั้งนี้เน้นโชว์ในเรื่องของการประหยัดน้ำมัน ซึ่งผลก็ออกมาแล้วว่าในกลุ่มของ เครื่องยนต์ e:HEV ผลเฉลี่ยรวมของทั้งสองผู้ขับขี่เฉลี่ยออกมาอยู่ที่ 38.5 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งมากกว่าที่เครมไว้อย่างอย่างเห็นได้ชัด และรุ่นเครื่องยนต์ TURBO อันดับหนึ่งตกเป็นของทีมเรา เฮ้ๆ ผลเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 28.2 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งก็ถือว่าเยอะพอสมควรมากกว่าที่ทางโรงงานเครมไว้เช่นกัน
ถ้าให้สรุปเกี่ยวกับตัวรถยนต์ NEW HONDA CITY 2023 และกิจกรรมการทดสอบครั้งนี้ ต้องบอกเลยว่า HONDA CITY ตั้งแต่เปิดตัวมาเริ่มต้นด้วยเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ ก็ได้รับการยอบรับที่ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นด้วยตัวเครื่องยนต์เอง ที่ขับสนุก แถมแรง โดนใจวัยรุ่น ดีไซน์ต่างๆที่ทำออกมาได้อย่างลงตัว จนมีรุ่นเครื่องยนต์ e:HEV มาเสริมทัพก็ยังได้รับการตอบรับอย่างดีเช่นเคย อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันมากขึ้น เราจะเห็นได้ว่ารถยนต์ HONDA CITY จะเป็นรถยอดฮิตในกลุ่มวัยรุ่น มีอุปกรณ์ตกแต่งมากมายมีให้เห็นอยู่ในสื่อโซเชียลช่องทางต่างๆ และกิจกรรมนี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่ารถยนต์ NEW HONDA CITY 2023 เป็นรถยนต์ใช่ว่าจะเน้นในเรื่องของความแรงซะอย่างเดียว เค้าก็ยังประหยัดน้ำมันได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานมากนั้นกับในเรื่องการประหยัดน้ำมัน ฉะนั้นลองเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ของคุณดู สำหรับใครที่ใช้รถยนต์รุ่นนี้อยู่วันไหนไม่รีบร้อน ลองขับชิวๆ ใช้เทคนิคแบบที่ผมได้บอกไปขั้นต้น ออกตัวก่อนเลยว่าผมไม่ได้ขับรถเก่งแต่อย่างใด แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณใจเย็นพอตัวเลขจริงที่ผมนำเสนอไปคุณได้เห็นมันอย่างแน่นอน
HONDA CITY ใหม่ มีให้เลือก 2 ขุมพลังขับเคลื่อน รวม 5 รุ่นย่อย แบ่งเป็น
HONDA CITY อี:เอชอีวี ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย
- รุ่น e:HEV RS ราคา 839,000 บาท
- รุ่น e:HEV SV ราคา 769,000 บาท
HONDA CITY เทอร์โบ ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย
- รุ่น RS ราคา 749,000 บาท
- รุ่น SV ราคา 679,000 บาท
- รุ่น V ราคา 629,000 บาท
สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่ สีน้ำเงินออบซิเดียน (มุก) (เฉพาะรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)
สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) (เฉพาะรุ่น RS และ e:HEV RS) สีขาวแพลทินัม (มุก) (เฉพาะรุ่น SV, RS, e:HEV SV, และ e:HEV RS) สีดำคริสตัล (มุก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) และสีขาวทาฟเฟต้า (เฉพาะรุ่น V)
โดยมาพร้อมข้อเสนอพิเศษ ดอกเบี้ย 2.09% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และเฉพาะรุ่น e:HEV เพิ่มการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง เมื่อจองและรับรถตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2566 – 30 กันยายน 2566
ชุดอุปกรณ์ตกแต่ง
เสริมความพรีเมียมด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) รอบคัน ที่มาพร้อมกับแนวคิด “More Stage Up Booster” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก เช่น ล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว ราคา 15,600 บาท คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 1,700 บาท คิ้วบันไดสเตนเลส LED ราคา 4,400 บาท รวมทั้งอุปกรณ์เพิ่มอรรถประโยชน์ใช้สอย
ในห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ เช่น กระบะใส่ของท้ายรถ สำหรับรุ่น TURBO ราคา 1,100 บาท, สำหรับรุ่น e:HEV ราคา 1,250 บาท
นอกจากนี้ ยังมีให้เลือกในรูปแบบแพ็กเกจชุดแต่งรอบคัน ได้แก่ Modulo Aero Package ราคา 15,500 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง และสเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น
ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลจากที่ปรึกษาการขายได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดทาง www.honda.co.th/city โดยลูกค้าที่ลงทะเบียนและร่วมกิจกรรมทดลองขับผ่าน www.honda.co.th/testdrive ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2566 จะได้รับฟรี ขวดน้ำพับได้ มูลค่า 250 บาท