หลังจากที่ Elon Musk บอสใหญ่ของ Tesla ได้ประกาศแผนเเปิดตัวระบบ Full Self Driving (FSD) เวอร์ชั่น 11.3 จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ ซึ่งจะมีการอัพเดทระบบขับขี่อัตโนมัติให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากยิ่งขึ้น
แต่เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมาได้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในเมือง San Francisco ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจาก Tesla Model S คันหนึ่งที่เปิดระบบ FSD ได้วิ่งเข้าในอุโมงแห่งหนึ่งด้วยความเร็วราวๆ 88 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก่อนที่ตัวรถได้ตัดสินใจเปลี่ยนช่องทางวิ่งไปทางซ้าย และเบรกกระทันหัน พร้อม ก่อนที่รถที่ตามหลังมาจะชนเข้าอย่างรุนแรง ทำให้รถมากถึง 8 คันได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุในครั้งนี้
I obtained surveillance footage of the self-driving Tesla that abruptly stopped on the Bay Bridge, resulting in an eight-vehicle crash that injured 9 people including a 2 yr old child just hours after Musk announced the self-driving feature.
Full story: https://t.co/LaEvX9TzxW pic.twitter.com/i75jSh2UpN
— Ken Klippenstein (@kenklippenstein) January 10, 2023
โดยผู้ขับขี่ได้อ้างว่า ในขณะที่เกิดเหตุเขาได้เปิดระบบขับขี่อัตโนมัติหรือ Full Self Driving และเมื่อรถได้วิ่งเข้ามาในอุโมง ตัวระบบได้ “เบรกกระทันหันอย่างรุนแรง” ทำให้มีรถได้รับความเสียหายในอุบัติเหตุในครั้งนี้มากถึง 8 คัน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 9 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเด็กน้อยอายุ 2 ขวบ แต่โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
กรมตำรวจทางหลวงของแคลิฟอร์เนีย ได้ออกมาให้ข่าวว่า ในขณะนี้พวกเขาได้เริ่มสอบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าระบบ FSD ถูกเปิดใช้งานอยู๋หรือไม่ในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งตัวรถจะไมี่แจ้งข้อมูลในส่วนนี้ให้กับผู้ขับขี่ แต่ทางบริษัทผู้ผลิตอย่าง Tesla จะมีข้อมูลในส่วนนี้อย่างแน่นอน ซึ่งต้องรอข่าวการชี้แจงจากทาง Tesla อีกครั้งหลังจากการสอบสวนเสร็จสิ้น
สำหรับระบบขับขี่อัตโนมัติ Full Self Driving (FSD) เวอร์ชั่น 11.3 ที่ทาง Elon Musk ได้ออกมาประกาศเมื่อไม่นานมานี้ มีประเด็นที่น่าสนใจบางอย่างนั่นก็คือ ตัวระบบจะยกเลิกการตรวจสอบการจับถือพวงมาลัยของผู้ขับขี่ในบางกรณี เนื่องจากในเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ผู้ขับขี่ยังคงต้องประคองพวงมาลัยเป็นระยะๆ เพื่อที่ให้ตัวระบบรู้ว่าคนขับยังคงอยู่ในสภาพที่พร้อมกับขี่และสามารถควบคุมรถได้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูล รูปภาพ และคลิปวีดีโอจาก : businessinsider.com / edition.cnn.com / forbes.com / Twitter : @kenklippenstein