เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ All-New Corolla CROSS ยนตรกรรมเอสยูวีรุ่นล่าสุดจาก Toyota และหลังจากที่เราได้นำเสนอข้อมูลไป วันนี้ก็มาถึงคิวของการพามาชมภาพคันจริง พร้อมกันนี้ยังมีความรู้สึกหลังทดลองขับครั้งแรกมาให้ติดตามกันด้วย
Corolla CROSS ใหม่ มาพร้อมกับสโลแกน “A New Journey… ให้ชีวิตเดินทาง” ซึ่งได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด “ความกะทัดรัดที่มาพร้อมกับความสะดวกสบาย” (Compact yet Comfortable) และ “ความล้ำสมัยที่สะท้อนตัวตนของความภูมิฐานสำหรับชีวิตในเมือง” (Dignity Urban Vogue)
ดีไซน์ภายนอกโดดเด้นด้วยไฟหน้า LED Projector แบบ Hybrid, ไฟเดย์ไล์ LED แบบ Light Guiding, ระบบควบคุมการเปิด – ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-Me-Home, ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED, กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า และพับเก็บอัตโนมัติพร้อมไฟเลี้ยวพร้อมระบบ Reverse Link, ไฟท้ายแบบ LED Light Guiding, และเสาอากาศแบบครีบฉลาม
นอกจากนี้ยังมีไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED หลังคามูนรูฟแบบไฟฟ้า ราวหลังคาสีดำ ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว และระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry)
ส่วนดีไซน์ภายในออกแบบได้อย่างลงตัว ด้วยสีภายใน สีแดงใหม่ Terra Rossa พร้อมเบาะหนัง และเบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ MID (Multi Information Display) ขนาด 7 นิ้ว, พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering), หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple Car Play Bluetooth และ USB, ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone ปรับอุณหภูมิด้านซ้าย – ขวาอย่างอิสระ พร้อมช่องระบายอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ (Push Start), EV MODE ใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อการเดินทางที่เงียบสนิท SPORT MODE เพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ และตอบสนองอัตราเร่งได้ดียิ่งขึ้น ECO MODE ช่วยลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง เพื่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ห้องโดยสารมีความกว้างขวางและสะดวกสบาย ด้วยพนักพิงเบาะนั่งด้านหลังปรับเอนได้ 6 องศา โดยเบาะนั่งด้านหลังแยกพับได้แบบ 60:40 และพนักวางแขนด้านหลัง พร้อมที่วางแก้วน้ำ มีช่องต่อ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ ประตูท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมเซนเซอร์เปิด-ปิดประตูท้ายแบบ Kick Activated รวมไปถึงพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีความจุมากถึง 487 ลิตร
ด้านขุมพลังขับเคลื่อนมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.8 ลิตร เป็นเครื่องยนต์ 2ZR-FBE 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT-i แบบ 7 สปีดพร้อม Sequential Shift และรองรับน้ำมัน E85
และเครื่องยนต์ไฮบริดรุ่นล่าสุดเจเนเรชันที่ 4 ขนาด 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า และแรงบิดสูสุด 142 นิวตันเมตร ทำงานร่วมมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 72 แรงม้า และแรงบิด 163 นิวตันเมตร ผลิตกำลังรวมกันได้ 122 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ E-CVT รองรับการเติมน้ำมัน E20 ให้อัตราประหยัดน้ำมันสูงถึง 23.3 กม./ลิตร
ข้อดีของระบบ TOYOTA HYBRID
- ชาร์จไฟในตัวขณะขับขี่ สามารถแปลงพลังงานส่วนเกินให้เป็นพลังงานไฟฟ้าสะสม หมดกังวลเรื่องสถานีชาร์จไฟ
- ออกตัวเร็วทันใจ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า จึงออกตัวราบรื่นรวดเร็ว
- ช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน จึงไม่มีการปล่อยไอเสียสู่อากาศ
- ไร้เสียงรบกวนตลอดการเดินทาง ไม่มีเสียงรบกวนโดยสิ้นเชิง เมื่อขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
- บำรุงรักษาง่ายไม่จุกจิก รถยนต์ไฮบริดบำรุงรักษาง่าย ไม่แตกต่างจากรถเครื่องยนต์เบนซิน
การทำงานของระบบ TOYOTA HYBRID อัจฉริยภาพแห่งการขับเคลื่อน ล้ำสมรรถนะทุกจังหวะการขับขี่
- ขณะออกตัว ระบบ Full Hybrid ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว โดยใช้พลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ขณะขับขี่ปกติด้วยความเร็วคงที่ เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันอย่างเหมาะสม เพื่อประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด พลังงานส่วนเกินถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ส่งไปเก็บสะสมในแบตเตอรี่ไฮบริด
- ขณะเร่งความเร็ว เครื่องยนต์ และระบบ Full Hybrid พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัว ผสานการทำงานร่วมกันอย่างเต็มพลัง แบตเตอรี่ส่งพลังงานไฟฟ้าเสริมเต็มกำลัง เพื่ออัตราเร่งสูงสุด
- ขณะลดความเร็วและเบรก เครื่องยนต์หยุดการทำงาน มอเตอร์ไฟฟ้าจะแปลงพลังงานจากการเคลื่อนที่เป็นพลังงานไฟฟ้าส่งไปเก็บสะสมในแบตเตอรี่ไฮบริด
- ขณะจอด เครื่องยนต์หยุดการทำงาน ระบบ Full Hybrid ช่วยให้ระบบปรับอากาศ ทำงานตามปกติในขณะที่จอด โดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไฮบริดเพียงอย่างเดียว เมื่อแตะเบรกเพื่อจอด มอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยประคองให้รถหยุดอย่างนุ่มนวล
ในส่วนของสถาปัตยกรรมโครงสร้างยานยนต์ใหม่ TNGA : Toyota New Global Architecture
- Body Rigidity เพิ่มความมั่นคงของรถจากโครงสร้างเหล็กที่แข็งแรง พร้อมเพิ่มจำนวนจุดเชื่อมตัวรถ (Spot Welding) ช่วยรองรับแรงบิดที่มีต่อตัวถัง เพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัวและเกาะถนน
- Good Handling พวงมาลัยมีการปรับจูน ตอบสนองแม่นยำมากขึ้น เพื่อให้การควบคุมรถง่าย เป็นไปอย่างมั่นใจ
- Low Center Of Gravity ออกแบบให้มีจุดศูนย์ถ่วงตัวรถต่ำ ลดอาการโคลงของตัวรถ ช่วยเรื่องการทรงตัวและการเข้าโค้งดีขึ้น
- Excellent Visibility ออกแบบตัวรถให้เหมาะกับสรีระผู้ขับขี่ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย ลดจุดอับสายตา
- ให้ชีวิตเดินทาง…กับมาตรฐานใหม่ของความปลอดภัย
ระบบความปลอดภัยแบบป้องกัน (Active Safety)
- Blind Spot Monitor ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง
- Rear Cross Traffic Alert ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ
- Panoramic View Monitor กล้องมองภาพรอบทิศทาง พร้อมมุมมองแบบ 3 มิติ
- Hill-Start Assist Control ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน
- ดิสก์เบรก 4 ล้อ
- Emergency Brake Signal สัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกระทันหัน
- TRC (Traction Control System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี
- VSC (Vehicle Stability Control) ระบบควบคุมการทรงตัว
- ABS (Anti-lock Brake System) ระบบป้องกันล้อล็อก
ระบบความปลอดภัยแบบปกป้อง (Passive Safety)
- Tire Pressure Monitoring System ระบบแจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติ
- ถุงลมเสริมความปลอดภัยระบบ SRS 7 ตำแหน่ง
ระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกของรถโตโยต้า (Toyota Safety Sense)
- Pre-Collision System ระบบความปลอดภัยก่อนการชน
- Lane Departure Alert With Steering Assist ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ
- Dynamic Radar Cruise Control With Lane Tracing Assist ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ พร้อมช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน
- Automatic High Beams ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ
เทคโนโลยีที่จะเชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยความเชื่อมั่น ปลอดภัย และไร้กังวล ด้วย T- Connect by Toyota เชื่อมการขับเคลื่อนแห่งอนาคต
Always Located & Protect
- Find My Car เช็กตำแหน่งรถ Real Time ได้ทุกที่ ทุกเวลา
- SOS ประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
- TheftTrack ตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์เมื่อถูกโจรกรรม พร้อมประสานความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง
- Geo-Fencing แจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากจุดจอดและขอบเขตที่คุณกำหนดไว้
Telematics CARE
- Maintenance Reminder แจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาเข้าศูนย์บริการ พร้อมประสานงานนัดหมาย
- Vehicle Information แสดงสถานะรถยนต์ ข้อมูลการขับขี่ สรุปทริปการเดินทาง พร้อมให้คุณแชร์ลงสื่อสังคมออนไลน์ อีกทั้งบริการแจ้งเตือนล่วงหน้าเมื่อใกล้ถึงเวลาต่อทะเบียนรถประจำปี
- Toyota Care PHYD ประกันภัย “ขับดีลดให้” สิทธิพิเศษด้วยเบี้ยประกันจ่ายตามพฤติกรรมการขับขี่ อีกทั้งช่วยแจ้งเตือนต่อประกันภัยล่วงหน้าอัตโนมัติ
Happiness Mobility
- Concierge Services บริการผู้ช่วยส่วนตัว พร้อมดูแลคุณตลอดการเดินทาง
นอกจากนี้ยังมีพี่ทีมงานของเราได้ไปร่วมสัมผัสกับรถคันจริง ในการ Test Drive Toyota Corolla Cross เราไปดูการเลยดีกว่าว่าพี่ทีมงานของเรารู้สึกอย่างไร
ภายในงานเปิดตัวทางโตโยต้าก็ยังจัดให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับเจ้า All-New Toyota Corolla Cross ในสนาม Toyota Driving Experience Park บางนาอีกด้วย โดยรถที่ทางทีมงานได้จัดเตรียมไว้ให้ทดลองขับนั้นเป็นรุ่นท็อปสุดในตระกูล Hybrid Premium Sefety อย่ารอช้าเราไปทดลองขับกันเลยดีกว่าครับ
เริ่มกันที่สถานีแรกจะเป็นการเลี้ยวในที่แคบสลับไปมา ในย่านความเร็วต่ำโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อดูน้ำหนักของพวงมาลัยที่เป็นแบบไฟฟ้า EPS มีการปรับหนัก และเบาแบบอัตโนมัติ ซึ่งก็คำนวณน้ำหนักออกมาได้กำลังดี ทำให้เลี้ยวได้ง่ายโดยไม่ต้องออกแรงเยอะ ต่อไปก็เป็นการทดสอบระบบ Lane Departure Alert With Steering Assist (ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ) ระบบนี้จะทำงานต่อเมื่อ
- ความเร็วไม่ต่ำกว่า 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- ระบบเรดาร์ตรวจพบเลนถนน
- ไม่ได้เปิดใช้งานไฟเลี้ยว
เมื่อครบทุกองค์ประกอบแล้วก็ลองขับรถออกนอกเลน ระบบก็จะเริ่มทำงานมีเสียงเตือนพร้อมหน่วงพวงมาลัยให้กลับเข้ามาอยู่ในเลนอัตโนมัติ และสถานีต่อไปที่ขาดไม่ได้ในการทดสอบก็คือ Slalom และต่อเนื่องด้วย Lane Change ด้วยความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต้องบอกเลยว่า handling ดี พวงมาลัยแม่นยำ ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ทำงานได้ไว รถไม่มีอาการไถล ไม่โคลงหรือโยนตัว ถึงตัวรถจะมีความสูงจากพื้น 1,620 มม. ต้องขอบอกนิดนึงนะครับว่าช่วงล่างของ All-New Toyota Corolla Cross ด้านหน้าเป็น แม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็น ทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลง แต่!!! ด้านหลังการมีปรับเช็ตพิเศษเพื่อเจ้า Corolla Cross โดยเฉพาะ สปริงกับโช็คอัพปรับจากแนวตั้ง มาเป็นเอียงไปด้านหน้า ทำให้กระสั่นสะเทือนลดน้อยลงนิ่มด้วยนวลมากขึ้น ในส่วนนี้บอกเลยว่าผ่าน!
ไปดูในส่วนอัตราเร่งกันหน่อยกับเครื่องยนต์ Hybrid ที่ผลิตแรงม้ารวมกันออกมาได้ 122 ตัว และเมื่อจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT 7 สปีด การทำความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้นไม่ใช่เรื่องยาก การทำงานของเครื่องยนต์กับเกียร์ E-CVT เข้ากันได้ดีไม่มีอาการรอรอบสมูทมากๆ จากอัตราเร่งก็มาที่เรื่องการเบรกกันบ้างในส่วนตัวผมชอบการตั้งเบรกและน้ำหนักเบรกของเจ้า Corolla Cross ด้วยระดับความสูงแป้นเบรกกับระบบกระจายแรงเบรก EDB ถูกปรับเช็ตออกมาได้ดีทำให้ตอนเบรกทุกย่านความเร็วเนียนสุดๆ ไปเลย และอีกสองจุดที่ทางโตโยต้าชูในนำเสนอจุดแรกมีการปรับขนาดเสา A ให้มีขนาดเล็กลงทำให้ลดจุดอับสายได้อย่างดีเยี่ยม และอีกจุดหนึ่งก็คือในเรื่องของการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารที่มาบุชนวนลดเสียงเพิ่มรอบคันส่งผลให้รถเงียบมากขึ้นตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายหลักกลุ่มครอบครัวและวัยทำงาน
นี้ก็เป็นการทดลองขับคร่าวๆสัมผัสแรกที่ได้จับ All-New Toyota Corolla Cross ยังไงแล้วต้องมีการทดลองขับแบบใช้งานจริงแน่นอนว่าจะเป็นยังไง อยากรู้เหมือนว่าอัตราสิ้นเปลืองการบริโภคน้ำมันจะทำได้ใกล้เคียงหรือมากกว่าที่เคลมไว้หรือใหม่และยังมีอีกหลากหลายจุดที่หน้าสนใจ เดี๋ยวเราจะมาเล่ากันแบบละเอียดแน่นอนครับรอติดตามได้เลยครับ
สีภายใน 2 สี
- Terra Rossa (เฉพาะรุ่น Hybrid Premium Safety และ Hybrid Premium ที่มีสีภายนอก Attitude Black Mica / Celestite Gray Metallic / Platinum White Pearl)
- Black
สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด เกียร์อัตโนมัติ
- Hybrid Premium Safety ราคา 1,199,000 บาท**
- Hybrid Premium ราคา 1,089,000 บาท**
- Hybrid Smart ราคา 1,019,000 บาท**
สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เกียร์อัตโนมัติ
- 1.8 Sport ราคา 989,000 บาท** และ ราคาพิเศษ 959,000 บาท (ณ วันเปิดตัว – 30 กันยายน 2563 มีจำนวนจำกัด) สำหรับสีพิเศษ Platinum White Pearl เพิ่ม 10,000 บาท **ราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน รวมเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่ม
พิเศษสำหรับลูกค้าซื้อ All-New Corolla Cross วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2563
- เลือกรับดอกเบี้ยพิเศษ 1.85% พร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1 Toyota Care
- ขยายระยะเวลารับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือ 150,000 กม. ฟรีค่าแรงเช็กระยะจนถึง 100,000 กม. มูลค่ากว่า 34,000 บาท
- Toyota Privilege More ข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมเฉพาะลูกค้าโตโยต้า
ทั้งนี้ All-New Toyota Corolla Cross จะถูกส่งออกจากโรงงานประกอบรถยนต์โตโยต้าเกตเวย์ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถยนต์นั่งของโตโยต้าที่ตั้งอยู่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคมนี้ ถือเป็นรถรุ่นที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยฝีมือคนไทย และส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ภายใต้ฝีมือการผลิตของคนไทยอีกด้วย