Koenigsegg (เคอนิกเส็กก์) ผู้ผลิตไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดน เตรียมจัดงานฉลองการแต่งตั้ง บริษัท เจเนอร์รัล ออโต้ ซัพพลาย จำกัด (ในเครือชาริช โฮลดิ้ง) ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถไฮเปอร์คาร์เคอนิกเส็กก์อย่างเป็นทางการในประเทศไทย พร้อมเผยโฉมไฮเปอร์คาร์ 2 รุ่นใหม่ ครั้งแรกในประเทศไทย
หากเอ่ยถึงรถไฮเปอร์คาร์สมรรถนะสูง ที่ได้ทำการผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายให้ผู้ที่มีความหลงใหลในนวัตกรรมขั้นสุดได้ครอบครอง สัมผัสถึงเทคโนโลยีแห่งความแรงและความเร็ว ต้องมีชื่อของ “Koenigsegg” ไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดนซึ่งเป็นรถ Production ที่ได้สร้างสถิติโลกไว้หลายรายการ อาทิเช่น
- ปี 2545 Guinness World Records ยกให้ Koenigsegg CC8S เป็นรถโปรดักชั่นที่มีเครื่องยนต์ทรงพลังที่สุดในโลก
- ปี 2548 Koenigsegg CCR กลายเป็นรถโปรดักชั่นที่เร็วที่สุดในโลก โดยการทำลายสถิติโลก ด้วยความเร็วที่ 387.86 กม./ชม.
- ปี 2550 Koenigsegg CCXR ถูกยกให้เป็นไฮเปอร์คาร์ ‘พลังงานสะอาด’ คันแรกของโลก นับเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญของวงการรถสปอร์ตที่หันมาให้ความสำคัญกับ ‘พลังงานสะอาด’ อย่างแท้จริง ด้วยการออกแบบที่พัฒนาให้ตัวรถสามารถรองรับเชื้อเพลิง E85 และยังสร้างแรงม้าสูงสุดถึง 1,018 แรงม้า ซึ่งสูงสุดในโลก ณ ขณะนั้น
- ปี 2554 Koenigsegg Agera R ทำลายสถิติด้านความเร็วสูงสุดอีกครั้ง โดยทำเวลาอัตราเร่ง 0-300 กม./ ชม. ได้เร็วกว่าที่ Koenigsegg CCX ทำไว้ในปี 2551 ถึง 8 วินาที ถือเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน หลังจากนั้นก็มีความพยายามที่จะทำลายสถิติเรื่อยมา จนปี 2558 Koenigsegg One:1 ทำลายสถิติของ Agera R มากกว่า 3 วินาที
- ปี 2560 Koenigsegg Agera RS ได้ทำสถิติความเร็วสูงสุดในรถ Production ด้วยความเร็ว 447.19 กม./ ชม.
- ปี 2562 สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ที่อัตราเร่ง 0-400 กม./ ชม. ภายใน 31.49 วินาที โดย Koenigsegg Regera
ประวัติของ Koenigsegg เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2537 จากชายหนุ่มในวัยเพียง 22 ปี นามว่า Christian von Koenigsegg (คริสเตียน ฟอน เคอนิกเส็กก์) ผู้ซึ่งได้รับเเรงบันดาลใจมาจากความใฝ่ฝันในวัยเยาว์ที่อยากผลิตรถเป็นของตัวเอง ได้ตัดสินใจเปิด Koenigsegg Automotive AB บริษัทไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดน ซึ่งปัจจุบันสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Ängelholm โดยอาณาจักรแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งกองทัพอากาศสวีเดน และมีโรงจอดเครื่องบินขับไล่ JAS 39 Gripen ก่อนที่ฝูงบินจะถูกปลดประจำการไป ซึ่งถูกปรับเปลี่ยนโครงสร้างอาคารให้เป็นโรงงานสำหรับการสร้างไฮเปอร์คาร์อันสมบูรณ์แบบทั้งพื้นที่ส่วนเวิร์คช้อป แผนกพัฒนาและทดสอบเครื่องยนต์ ห้องประกอบชิ้นส่วนตั้งแต่ก่อนประกอบจนถึงขั้นตอนสุดท้าย แผนกทำสี แผนกวิจัยและพัฒนา รวมถึงแผนกจัดเก็บอะไหล่ และชิ้นส่วน
นอกจากนี้ยังมีรันเวย์ของสนามบินระยะทางยาว 1.7 กม. และความกว้าง 50 เมตร ที่อยู่ถัดจากประตูทางเข้าโรงงาน เหมาะกับการทดสอบรถด้วยความเร็วสูง ซึ่งลูกค้า Koenigsegg หลายท่านชื่นชอบที่จะนำเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวลงจอดที่รันเวย์แห่งนี้ รวมถึงยังมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ด้านหน้าทางเข้าเพื่ออำนวยความสะดวกอีกด้วย โดยรถ Koenigsegg ทุกคันที่ผลิตที่โรงงานแห่งนี้ จะประทับตรา “flying ghost” อันเป็นสัญลักษณ์ของฝูงบินขับไล่ไอพ่นที่ 1 ของกองทัพอากาศสวีเดน
Koenigsegg ตั้งมั่นในปณิธานที่จะสร้างรถยนต์ที่มีความสมบูรณ์แบบโดยไร้ขีดจำกัด และทุกรายละเอียดองค์ประกอบของรถจะต้องทำงานร่วมกันอย่างลงตัวเพื่อประสิทธิภาพการขับขี่สูงสุด (Ultimate performance) ซึ่งทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิตโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ ไปจนถึงการตกแต่งภายในของ “Koenigsegg” ถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันด้วยมือ รถทุกคันจึงเปรียบดั่งงานศิลป์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ สร้างขึ้นตามมาตรฐานสูงสุดของแบรนด์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกรายละเอียด คริสเตียนได้เริ่มออกเเบบรถคันเเรก โดยมีชื่อรุ่นว่า Koenigsegg CC ซึ่งได้เปิดตัวสู่สาธารณะครั้งเเรกในปี พ.ศ. 2539 เเละได้ผลิตไฮเปอร์คาร์มาอีกหลายรุ่น เช่น Agera, Agera RS, Regera, Jesko
ในปี พ.ศ.2563 Koenigsegg ได้สร้างความสั่นสะเทือนในวงการอีกครั้ง โดยการเปิดตัวรถไฮเปอร์คาร์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำ โดยหนึ่งในนั้นเป็นรุ่นที่เร็วและแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Koenigsegg และจะไม่ผลิตรถคันไหนที่เร็วและแรงกว่านี้อีกแล้วในอนาคต นั่นคือ “Jesko Absolut” (เยสโก้ แอบซูลุท) มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน V8 เทอร์โบคู่ ซึ่งสามารถสร้างกำลังสูงสุดได้ที่ 1,600 แรงม้า (เมื่อใช้เชื้อเพลิง E85) และยังสามารถลากรอบได้ถึง 8500 รอบต่อนาที
ต่อมาได้เปิดตัวไฮเปอร์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุดอีกหนึ่งรุ่น ซึ่งเป็น Mega-GT (Mega-Gran Turismo) คันแรกของโลก อย่าง “Gemera” (เกเมร่า) ด้วยที่นั่งที่สามารถรองรับสรีระของผู้ใหญ่ได้ถึง 4 ที่นั่งและยังสามารถเก็บกระเป๋าสัมภาระได้ถึง 4 ใบ ทั้งยังมาพร้อมที่วางแก้วถึง 8 จุด
ขุมกำลังเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ เทอร์โบคู่ ขนาด 2.0 ลิตร ที่มีชื่อเรียกว่า “Tiny Friendly Giant (TFG)” มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 3 มอเตอร์ มอบพละกำลังสูงสุด 1,700 แรงม้าและแรงบิดสูงสุดที่ 3,500 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 1.9 วินาที ผลิตมาเพื่อการเดินทางอันหรูหราสะดวกสบาย โดย Gemera จะมีผู้ที่ได้ครอบครองเพียง 300 คันทั่วโลก
สำหรับไฮเปอร์คาร์ รุ่นใหม่ล่าสุด ทั้ง Koenigsegg Jesko Absolut และ Gemera พร้อมที่จะเผยโฉมให้เห็นคันจริงครั้งแรกในเมืองไทยเร็วๆ นี้