fbpx

ลอง MG3 ไมเนอร์เชนจ์ 1.5 ลิตร 4 เกียร์พอได้ แต่เด่นที่ True Music

ลองขับกันมาแล้ว กับรถยนต์ขนาดเล็กที่สุดของค่าย MG อย่าง MG3 ไมเนอร์เชนจ์ หรือที่ทาง เอ็มจี เซลส์ ประเทศไทย บอกว่าเป็น MG3 ใหม่

ซึ่งจะว่าไปแล้วเจ้า MG3 รุ่นนี้ก็เหมือนกับเป็นรุ่นใหม่แล้วครับ หน้าตาเปลี่ยนใหม่หมด เครื่องยนต์ใหม่ ภายในใหม่ เหลือแค่แชสซีส์เท่านั้นที่ยังคงใช้เหมือนกับ MG3 รุ่นเดิมอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้นในส่วนตัวผมมองว่าเจ้า MG3 เวอร์ชั่น 2018 ยังเป็น เมเจอร์เชนจ์ครับ คือมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญไปไม่น้อย

MG3 รุ่นนี้ทาง เอ็มจี ประเทศไทย บอกว่าต้องการขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างมากขึ้น โดยจะขยายไปยังกลุ่มครอบครัวขนาดเล็ก กลุ่มวัยเริ่มต้นทำงาน รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบในเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้านของอินเทอร์เน็ต เพราะ MG3 รุ่นนี้ มีระบบ i-Smart ที่ทำให้รถคันนี้เป็น internet Car ที่คล้ายๆ กับรุ่นพี่อย่าง MG ZS แต่ยังไม่เต็มระบบเท่ากับ MG ZS

การลองขับ MG3 เวอร์ชั่นนี้ ถือว่าเป็นการลองขับที่ได้มีโอกาสอยู่กับรถได้มากพอสมควร เพียงพอที่จะได้เห็นจุดดี จุดด้อยของเจ้ารถคันนี้กันเลยก็ว่าได้

เริ่มกันที่หน้าตาของ MG3 เมเจอร์เชนจ์กันก่อน หน้าตาต้องบอกว่าเหมือนรุ่นพี่คือ MG ZS ไม่น้อยทีเดียว เพราะถูกออกแบบมาภายใต้แนวคิด บริท ไดนามิค (BRIT DYNAMIC) ที่เน้นเรื่องสมรรถนะการขับขี่ และความสนุกสนาน ความสะดวกสบาย

ดีไซน์ที่ทำให้ MG3 ดูดีขึ้นมามากที่สุดก็คือเจ้ากระจังหน้าใหม่ขนาดใหญ่ ที่เด่นสะดุดตา ทำให้รถคันนี้กลายเป็นรถที่มีราคาขึ้นมาไม่น้อย

เพราะหากเปรียบเทียบกันแบบตรงไปตรงมา MG3 คือรถในกลุ่มเดียวกับรถอีโคคาร์ของค่ายญี่ปุ่นนั่นเอง โดยราคารุ่นท็อปสุดของ MG3 อยู่ที่ 6.29 แสนบาท ซึ่งเป็นราคาที่ค่อนข้างจะแข่งขันได้ในตลาดรถยนต์ขนาดเล็กเมืองไทย

ออปชั่นที่ MG3 ให้มานั้นพอใช้ได้ทีเดียวทั้ง ไฟหน้าเป็นแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟเดย์ไทม์ รันนิ่ง เหมือนกับรถสมัยใหม่ทั่วไป น่าเสียดายที่ไฟหน้ายังไม่เป็น LED ถ้าเป็น LED ละก็วงการอีโคคาร์ สะเทือนกันเป็นแน่แท้

ส่วนด้านท้ายมีไฟเบรกดวงที่สามและไฟตัดหมอกหลัง มีหลังคาซันรูฟปรับไฟฟ้า ที่ถือว่า MG เป็นรถเล็กเพียงแบรนด์เดียวที่มีซันรูฟมาให้ ซึ่งเจ้าซันรูฟนี้ก็แล้วแต่ละครับว่า ใครจะใช้หรือไม่ใช้ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมไม่ใช้แน่ แต่ถ้าเท่ละก็ยอมรับว่าเท่แน่ๆ

ด้านข้างมีสเกิร์ตข้างสีทูโทน มาให้ด้วยส่วนล้อให้มาใหญ่ใช้ได้โดยเป็นล้ออัลลอยด์ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยางธรรมดาๆ แบรนด์หนึ่ง หากให้มองในแบบใจเป็นกลางแล้ว ผมว่า MG3 รุ่นนี้หน้าตาดีใช้ได้เลย ดูแล้วไม่เหมือนกับรถอีโคคาร์ครับ ดูไปก็สูสี กับซูซูกิ สวิฟท์ ,โตโยต้า ยาริส ก็ว่าได้

ลองเปิดฝากระโปรงท้าย พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังไม่ค่อยจะกว้างขวางเท่าไหร่ แต่ก็พอใช้งานได้แบบทั่วๆไป ไม่โดดเด่นมากนักแม้ว่าจะพับเบาะแถว 2 ไปแล้วก็ตาม ถ้ามองในเรื่องของความกว้างของพื้นที่เก็บสัมภาระถือว่าธรรมดาครับ ใช้งานได้ตามสภาพ

แต่หากเข้าไปนั่งยังตำแหน่งผู้โดยสารตอนหลัง ก็ต้องบอกว่าความกว้างขวางใช้ได้เลย นั่งแบบสบายๆ แต่ไม่มีที่พักแขนให้กับผู้โดยสารตอนหลังจุดนี้ผมไม่ชอบ และไม่มีช่องเสียบ USB ใดๆ มาให้กับผู้โดยสารตอนหลังต้องพึ่งช่องเสียบ USB จากตอนหน้าของรถ ก็ว่ากันไปครับในจุดนี้

เลื่อนตัวมาที่ตำแหน่งผู้ขับขี่ เบาะที่นั่งดูเล็กไปนิดครับ ต้องปรับให้พอดีๆ หน่อยถึงจะขับสบาย แต่เมื่อไล่สายตาดูภายในห้องโดยสารแล้วก็ต้องบอกว่าทึ่งไม่น้อยเพราะ MG3 ใหม่นี้ ได้รับการออกแบบให้ทันสมัย ดูดีขึ้น และพรีเมียมขึ้นด้วยแผงคอนโซลหน้า ที่ตกแต่งเส้นสายสีสันโมเดิร์นกราฟิก ระบบปรับอากาศเป็นแบบอิเล็คทรอนิก และช่องแอร์ทรงกลมสไตล์เจ็ท เทอร์ไบน์ และยังเด่นด้วยจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่อยู่บริเวณคอนโซลหน้าอีกด้วย

มาลองขับกันก่อนดีกว่า ส่วนเรื่องของฟังก์ชั่น i-Smart ของ MG3 รุ่นนี้ค่อยมาว่ากันที่หลัง เครื่องยนต์ของ MG3 ใช้เครื่องยนต์และเกียร์เดียวกับ MG ZS นั่นคือเครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว 1,498 ซีซี VTi-TECH ให้กำลังสูงสุด 112 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตรที่ 4,500 รอบ/นาที ใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อม Manual Mode ที่ปรับปรุงใหม่ อ้อๆๆ MG3 ใช้น้ำมัน E85 ได้ด้วยครับ แต่น้ำมันที่ผมลองขับเป็นน้ำมัน E20 นะครับ

สตาร์ทเครื่องแล้ว ลองกันเลยดีกว่าเอื้อมมือมาจับพวงมาลัยหุ้มหนังแบบ PVC ที่เป็นแบบมัลติฟังก์ชั่น ซึ่งเดี๋ยวนี้พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ของรถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศไทยไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ครับ

เปลี่ยนเกียร์มายังตำแหน่ง D รถก็เคลื่อนตัวออกมาแบบกระฉับกระเฉงใช้ได้ เออ ออกตัวไม่อืดนะ ลองเพิ่มน้ำหนักลงบนคันเร่งในช่วงความเร็วต่ำถึงปานกลาง อัตราเร่งถือว่าใช้ได้พอควรทีเดียว อย่างนี้ใช้งานในเมืองได้เลยครับ เจอกับรถติดๆ ไม่อึดอัดละกับการออกตัว และเร่งแซงในช่วงออกตัว

หรือถ้ายังไม่พอใจก็สามารถเลื่อนตำแหน่งเกียร์มาเป็นโหมดแมนนวล แล้วเลือกเล่นเกียร์ตามที่เราต้องการได้อีกด้วย ซึ่งโหมดนี้ทำงานได้ดีทั้งในเมืองและต่างจังหวัดครับ

แต่การใช้งานในเมืองมีสิ่งที่ผมติอยู่อย่างหนึ่งครับคือ น้ำหนักของพวงมาลัยที่ค่อนข้างหนัก ในช่วงความเร็วต่ำซึ่งผมมองว่ามันหนักเกินไป ต้องใช้แรงในการหมุนพวงมาลัยมากไปหน่อย ซึ่งพวงมาลัยของ MG3 ไม่ได้เป็นพวงมาลัยไฟฟ้านะครับ แต่เป็นพวงมาลัยไฮโดรลิค ซึ่งค่อนข้างน่าเสียดายไม่น้อยครับ จุดนี้คุณผู้หญิงทั้งหลายไม่ชอบแน่ๆ แต่ถ้าเป็นคุณผู้ชาย หรือวัยรุ่นก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่

นอกจากเรื่องของน้ำหนักพวงมาลัยที่ค่อนข้างหนักในความเร็วต่ำแล้ว สิ่งที่น่าติอีกอย่างของพวงมาลัยคือ อาการของพวงมาลัยจะแปลกๆ เมื่อวิ่งด้วยความเร็วตั้งแต่ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป พวงมาลัยจะมีอาการฟรีนิดๆครับ ไม่ค่อยนิ่งมีจังหวะสวิงของพวงมาลัยอยู่พอควร จุดนี้ผมไม่ชอบทำให้รู้สึกแปลกๆเมื่อขับในความเร็วสูง

ด้านอัตราเร่งของ MG3 เวอร์ชั่น 2018 อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้พอสมควร ในช่วงย่านความเร็วกลางเร่งแซงพอได้เลย แต่ก็ต้องลากรอบเครื่องยนต์พอสมควรครับ ซึ่งตรงจุดนี้ผู้ขับต้องรู้นิสัยของเครื่องตัวนี้หน่อยครับว่า ขอเวลาลากรอบสักนิดถึงจะพุ่งปรู๊ดปร๊าด ไม่ใช่แตะปุ๊ปพุ่งปั๊ป ส่วนเกียร์ 4 เกียร์นั้นใช้ได้มั้ย ก็ต้องบอกว่าใช้ได้ แต่มันอยู่ในกลุ่มล้าสมัยไปหน่อย คือเดี๋ยวนี้เกียร์อย่างน้อยต้อง 5 เกียร์หรือไม่ก็ CVT ไปเลย

ถามว่าเกียร์ลูกนี้ใช้งานได้มั้ยก็ต้องบอกว่าใช้ได้ครับ และใช้ได้ทนมากด้วย ไม่ต้องกังวลเรื่องซ่อมบำรุงอะไรมากมาย เสียแค่ไม่ประหยัดเท่านั้น

ความเร็วลากไปได้เกิน 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง น่าเสียดายที่ช่วงถนนว่างๆ หมดเสียก่อนเลยไม่รู้ว่าความเร็วสูงสุดอยู่ที่เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้จำเป็นอะไรมากมายนักแค่ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็น่าจะเพียงพอแล้วกับรถเล็กๆ อย่างนี้

มาว่ากันที่ช่วงล่างกันหน่อย ช่วงล่างของ MG3 รุ่นนี้ถูกออกแบบมาค่อนข้างจะกระด้างครับ เมื่อใช้งานจริง ผมว่าแข็งไปหน่อยไม่ค่อยเหมาะกับความเป็นรถครอบครัวเท่าไหร่ แต่ถ้าใครที่ชอบช่วงล่างแข็งนิดๆละก็ไม่ผิดหวังแน่

จะว่าไปแล้วรถรุ่นนี้ขับทางไกลดีไม่น้อยนะครับผมลองขับบนเส้นทางกรุงเทพ-หัวหิน ทั้งไปทั้งกลับก็สบายดี อัตราการกินน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 11-12 กิโลเมตร/ลิตร ถือว่าเปลืองไปหน่อยเหมือนกัน นอกจากนี้สิ่งที่น่าติอีกอย่างใน MG3 เมเจอร์เชนจ์ตัวนี้คือ เสียงเครื่องยนต์และเสียงลมเข้ามาในห้องโดยสารไม่ใช่น้อย เรียกว่าน่ารำคาญเลยละ

เอาละมาว่ากันที่ระบบ i-Smart ของ MG3 นี้กันหน่อย ว่ามีอะไรบ้างเริ่มจาก การเปิด-ปิด ล็อกรถจากสมาร์ทโฟนสามารถทำได้ แต่ไม่สามารถสั่งสตาร์ทรถและเปิด-ปิดแอร์ได้ ไม่เหมือนกับ MG ZS ที่สั่งงานได้ทุกอย่างที่ว่ามา แต่ระบบนี้สามารถเช็ครถได้ว่าอยู่ตรงไหน เช็คระบบลมยางล้อทั้ง 4 เส้น เช็คระดับน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหลืออยู่ผ่านสมาร์ทโฟนได้

ส่วนระบบ i-Smart ที่เชื่อมต่อภายในรถ ที่ผมชอมมากก็คือ True Music ที่ระบบเครื่องเสียงของ MG3 มีแอพพลิเคชั่น True Music ติดตั้งมาให้อยู่แล้วสามารถใช้ฟรีๆ นาน 5 ปี เลยทีเดียว ซึ่งหากเจัาแอพฯ True Music นั้่นมีเพลงที่อัพเดทอยู่ตลอดเวลา โดยมีเพลงให้เลือกฟังมากถึง 1 ล้านเพลง เรียกว่า 5 ปีนี้คุณฟังเพลงไม่ซ้ำกันแน่ๆ

แถมเวลาเราสตาร์ทรถแต่ละครั้งทางแอพฯ True Music ก็จะอัพเดทเพลงใหม่ๆโดยอัตโนมัติ ทำให้คุณมีเพลงใหม่ทุกครั้งที่ขับรถ เจ๋งมั้ยครับ มีรถรุ่นไหนทำได้บ้างเนี่ยะ ผมชอบสุดๆ นอกจากนี้ i-Smart เวอร์ชั่นนี้ยังมีระบบนำทางที่เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลร้านอาหารของ Wong Nai ให้อีกด้วย ส่วนที่พักก็จะเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลของ Agoda เรียกได้ว่าถ้าเราเลือกที่พักที่อยู่ในฐานข้อมูล Agoda ละก็ไม่มีหลงแน่ๆ แถมได้อิ่มท้องจากร้านอาหารของ Wong Nai อีกด้วย

ส่วนตัวแล้วผมชอบนะกับฟังก์ชั่น i-Smart ที่กล่าวมาข้างต้น เพราะมันเพียงพอที่จะทำให้เรานั่งในรถได้อย่างสบายใจ ฟังเพลงเพราะๆ จากกรุงเทพ-เชียงใหม่ โดยเพลงไม่มีซ้ำกันแน่นอน ชอบอ่ะ แถมเพลงยังเป็นเพลงที่ใหม่ๆด้วย และยังมีแผนที่นำทางไปร้านอาหารและที่พักในทุกจังหวัดอีกด้วย สบายเลยครับคราวนี้ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากแล้ว

รถเล็กแค่ตัวกับเครื่องเท่านั้น แต่ความสามารถไม่ได้เล็กไปกับตัวเองด้วยเลย แบบนี้ถึงเรียกว่า มีดี พอที่จะลบจุดด้อยของตัวเองได้หมดแล้วครับ..

ขาเที่ยว ขากิน ขาชอบฟังเพลง MG3 ใหม่คันนี้คันเดียวอยู่ครับ


 

บทความที่น่าสนใจ

ฅ.คนรักรถ รีวิว : Mio Mivue 792 กล้องบันทึกหน้ารถ ที่ฟังก์ชั่นครบได้อีก

idiot

ลองขับ MG ZS เอสยูวีน้องเล็ก บอกได้เลยว่ามัน คุ้มค่า มาก!

idiot

[ทดลองขับ] Honda Civic ใหม่ เสริมระบบความปลอดภัยขึ้นอีกขั้น

idiot

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy