วันนี้เราจะพาทุกท่านไปดูกันว่ารถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 Long Range AWD หากนำมาวิ่งในสภาพการจราจรกลางเมือง – ชานเมือง ด้วยระยะทางวิ่งไป-กลับที่ราวๆ 130 กิโลเมตร แบตเตอรี่จะลดลงกี่เปอร์เซ็นต์, ความรู้สึกในขณะนั่งโดยสารและขับขี่จะเป็นอย่างไร พร้อมพิสูจน์สถานีชาร์จ Supercharger ที่ Central World ว่าจะชาร์จไฟได้เร็วและแรงจริงหรือไม่
พวกเราทีมงานเว็ปไซต์ Carvariery และรายการ ฅ. คนรักรถ ได้เข้าไปรับรถ Tesla Model 3 LR ที่อาคาร Vanissa Building ถนนชิดลม โดยได้มีเจ้าหน้าที่จากทางเทสล่า ประเทศไทย มาแนะนำวิธีการใช้งานและฟังก์ชั่นของตัวรถอย่างละเอียด ซึ่งตอนที่พวกเราไปรับรถมานั้นมีปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่อยู่ที่ 95 เปอร์เซ็นต์
หลังจากที่ฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราได้เริ่มออกเดินทางไปยัง “สะพานแดง จุดชมวิวปลาโลมา” หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมซึ่งตั้งอยู่บริเวณ ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร โดยในช่วงแรกผู้เขียนได้นั่งบริเวณเบาะโดยสารด้านหลัง
หลังจากที่เดินทางฝ่ารถติดโซนสุขุมวิท – พระราม 4 เราตัดสินใจขึ้นทางด่วนศรีรัชบริเวณสะพานเหลือง ตามคำแนะนำของระบบนำทางที่มากับตัวรถ ซึ่งทำงานได้อย่างลื่นไหล และสามารถดูเส้นทางได้อย่างง่ายดายจากหน้าจอกลางซึ่งมีขนาดใหญ่ถึง 15 นิ้ว
และแล้วเราก็ได้เดินทางมาถึง “สะพานแดง” จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในช่วงเวลาที่เราเดินทางไปถึง (ประมาณ 12.00 น.) ระดับน้ำทะเลลดลงเป็นอย่างมาก โดยจากการสอบถามกับผู้คนในพื้นที่ได้บอกกับพวกเราว่า เวลาที่เหมาะสมในการมาเที่ยวชมที่นี่ควรจะมีในช่วงเย็น (16.00 น. เป็นต้นไป) จะพบกับวิวทิศทัศน์และบรรยากาศที่สวยงามมากกว่านี้ โดยเราใช้ระยะทางวิ่งไปทั้งหมด 72 กิโลเมตรจากจุดที่รับรถ และเหลือปริมาณไฟในแบตเตอรี่อยู่ที่ 73 เปอร์เซ็นต์ (ลดลง 22 เปอร์เซ็นต์)
ความคิดเห็นของผู้โดยสารตอนหลัง
- เบาะโดยสารด้านหลัง ให้ความสบายในการเดินทางในระดับหนึ่ง แต่พื้นที่วางเท้าและพื้นที่ว่างเหนือศีรษะมีค่อนข้างน้อย (ผู้เขียนสูง 173 เซนติเมตร)
- การเข้าออกห้องโดยสารตอนหลัง ไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่นัก เนื่องจากทางเข้ามีขนาดเล็กพอสมควร แต่เข้าใจได้ว่าตัวรถออกแบบมาให้มีกลิ่นอายความเป็นรถสปอร์ต จึงอาจส่งผลต่อพื้นที่ทางเข้าห้องโดยสารตอนหลัง
- ในวันที่เราได้นำรถไปทดสอบ มีแสงแดดแรง และสภาพอากาศภายนอกขึ้นสูงถึง 40 องศาเซลเซียส บวกกับหลังคากระจกของตัวรถ Tesla ทำให้จำเป็นต้องเร่งลมแอร์จนเกือบสุด จึงจะสามารถสู้กับแสงแดดและอากาศที่ร้อนจัดได้
หลังจากที่เราแวะถ่ายภาพที่สะพานแดงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราได้แวะศาลพันท้ายนรสิงห์ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ โดยในช่วงนี้ผู้เขียนได้สลับมาเป็นผู้ขับ และเดินทางมุ่งหน้าสู่สถานีชาร์จ Supercharger ที่ Central World เพื่อทดลองชาร์จไฟว่าจะเร็วตามที่ผู้ผลิตเคลมเอาไว้หรือไม่
ทดลองอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในสเปคของตัวรถระบุว่า Tesla Model 3 LR สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 ได้ภายใน 4.4 วินาที ซึ่งจากการทดสอบของพวกเรา ได้ผลการทดสอบออกมาดังนี้
- โหมดชิลล์ – อัตราเร่ง 0-100 ใน 8.7 วินาที
- โหมดมาตรฐาน – อัตราเร่ง 0-100 ใน 5.3 วินาที
หมายเหตุ : ในวันที่ทำการทดสอบมีสภาพอากาศร้อนจัด และมีจำนวนผู้โดยสารมากถึง 3 คน ซึ่งอาจส่งผลต่อตัวเลขอัตราเร่ง
ถึงแม้ว่าตัวเลขที่ออกมาจะช้ากว่าที่เคลมเอาไว้ แต่อัตราเร่งของ Model 3 LR เรียกได้ว่าเหลือกินเหลือใช้ในการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งเดินทางต่างจังหวัดและการใช้งานในเมือง โดยในโหมดมาตรฐานเมื่อกดคันเร่งลงไปสุด ตัวรถก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในแทบจะทันทีที่กดคันเร่ง ในขณะที่โหมดชิลล์จะให้อัตราเร่งที่นุ่มนวลกว่ามากพอสมควร ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนมองว่าในการใช้งานในเมืองหรือชานเมือง “โหมดชิลล์” ก็ให้อัตราเร่งที่เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว
ช่วงล่าง แอบตึงตังเล็กน้อย แต่แน่น เฟิร์ม และหนึบ !!
มาถึงอีกหนึ่งประเด็นที่มีหลายๆคนพูดถึงเจ้า Model 3 อยู่บ่อยครั้ง นั่นก็คือ ช่วงล่างกระด้างและแข็ง ซึ่งในความคิดเห็นส่วนตัวของเราเมื่อได้มาขับรถรุ่นนี้ก็ต้องบอกเลยว่า มันแอบมีความกระด้างและตึงตังอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือหงุดหงิดแต่อย่างใด แต่เมื่อลองขับด้วยความเร็วสูงและเข้าโค้งกลับพบว่า ช่วงล่างของรถคันนี้เอาอยู่และให้ความมั่นใจในการขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้เป็นอย่างดี และเรายังได้ทดลองวิ่งผ่านคอสะพานด้วยความเร็วสูงก็พบว่า ตัวรถเก็บอาการได้อย่างอยู่หมัดและให้ความรู้สึกปลอดภัยกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นอย่างมาก
ทดลองระบบ Autopilot บนถนนพระราม 2
มาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์ของรถยนต์ Tesla ทุกรุ่นนั่นก็คือ ระบบขับขี่อัตโนมัติหรือ Autopilot ซึ่งเราได้ทดสอบใช้ระบบนี้บริเวณถนนพระราม 2 ซึ่งมีสภาพผิวถนนที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก และมีการปิดผิวจราจรบางส่วนเพื่อก่อสร้างถนนและทางพิเศษ รวมถึงสภาพการจราจรก็ค่อนข้างหน้าแน่นอยู่พอสมควร ซึ่งในทีแรกเราคิดว่าเจ้าระบบ Autopilot ของเทสล่าน่าจะไม่สามารถต่อกรกับสภาพการจราจรของถนนพระราม 2 ได้
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นกลับผิดคาด เพราะระบบขับขี่อัตโนมัติสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำ โดยในระยะทางราวๆ 20 กิโลเมตรที่เราทดลองใช้ระบบ Autopilot เราแทบไม่ต้องควบคุมรถเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งสามารถช่วยลดภาระและความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างมาก โดยตลอดการทดสอบนั้นมีเพียง 1 ครั้งที่ระบบขับขี่อัตโนมัติถูกยกเลิก เนื่องจากเส้นถนนในช่วงนั้นมีการตีเส้นทับกันไปมาและมีการปิดผิวจราจรบางส่วนอีกด้วย
ทดลองสถานีชาร์จ Supercharger ที่ห้าง Central World
ก่อนที่เราจะส่งมอบรถคืนที่อาคาร Vanissa Building เราได้นำรถ Tesla Model 3 LR มาทดลองชาร์จที่สถานีชาร์จ Supercharger V3 ที่มีกำลังชาร์จสูงสุดมากถึง 250 kW ซึ่งตั้งอยู่บริเวณลานจอดรถชั้น B1 ของห้างสรรพสินค้า Central World ซึ่งเมื่อเรามาถึงพบว่า มีช่องชาร์จเหลือว่างเพียง 1 ช่องจากทั้งหมด 9 หัวชาร์จ
ตอนที่เรามาถึงตัวรถมีปริมาณแบตเตอรี่เหลืออยู่ที่ 51 เปอร์เซ็นต์ และวิ่งไประยะทางทั้งหมด 131 กิโลเมตร
วิธีการใช้งานหัวชาร์จ Tesla Supercharger ก็ง่ายดายมาก เพียงนำหัวชาร์จไปจ่อใกล้ๆกับช่องชาร์จที่ซ่อนอยู่บริเวณใกล้กับไฟท้ายด้านหลังขวา จากนั้นกดปุ่มบนหัวชาร์จ เพียงเท่านี้ช่องชาร์จของตัวรถก็จะเปิดออกมาโดยอัตโนมัติและสามารถเสียบหัวชาร์จเข้าไปได้เลย
หลังจากที่เสียบช่องชาร์จแล้ว เพียงเวลาแค่แปปเดียว (2-3 นาที) ปริมาณของแบตเตอรี่ก็เพิ่มขึ้นเป็น 59 เปอร์เซ็นต์อย่างรวดเร็ว โดยหน้าจอกลางได้แจ้งว่าในขณะนี้กำลังไฟที่เข้าสู่ตัวรถอยู่ที่ 91 kW และจะใช้เวลาอีก 30 นาทีจนกว่าแบตเตอรี่จะเต็ม 100%
หลังจากที่เวลผ่านไปราวๆ 12 นาทีนับตั้งแต่เสียบชาร์จไฟ หน้าจอแสดงปริมาณของแบตเตอรี่อยู่ที่ 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถึงแม้ว่ากำลังไฟที่ชาร์จเข้าสู่ตัวรถนั้นจะน้อยกว่าที่ผู้ผลิตเคลมไว้ แต่ก็ยังถือได้ว่าเร็วอยู่ดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ของเทสล่าได้แจ้งกับเราว่า เนื่องจากมีรถที่เข้ามาใช้สถานีชาร์จพร้อมกันเป็นจำนวนมาก (เกือบเต็มทุกหัวชาร์จ) ทำให้การปล่อยกระแสไฟจำเป็นต้องแชร์กับรถคันอื่นๆ จึงทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการชาร์จนานขึ้นนั่นเอง
สรุปการใช้ไฟฟ้าของ Tesla Model 3 LR ในระยะทาง 131 กิโลเมตร แบตเตอรี่หายไปเท่าไหร่ ?
จากการใช้งานของเราในวันนี้ ได้วิ่งไประยะทาง 131 กิโลเมตร ปริมาณของแบตเตอรี่ลดลงจาก 95 เปอร์เซ็นต์ เหลืออยู่ที่ 51 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับว่าในระยะทาง 131 กิโลเมตร ใช้แบตเตอรี่ไป 44 เปอร์เซ็นต์
หมายเหตุ : ในวันที่ทำการทดสอบมีสภาพอากาศร้อนจัด และมีจำนวนผู้โดยสารมากถึง 3 คน รวมถึงมีการทดสอบอัตราเร่งและใช้ความเร็วสูงอยู่มากพอสมควร ซึ่งส่งผลต่ออัตราสิ้นเปลืองในรถคันนี้
จุดเด่นและข้อสังเกตุของ Tesla Model 3 Long Range
จากการที่ได้ทดลองขับและนั่งโดยสาร Tesla Model 3 รุ่น Long Range ในระยะทางราวๆ 130 กิโลเมตร เรามีจุดที่ชอบและจุดสังเกตในรถคันนี้อยู่มากพอสมควรดังนี้ครับ
จุดเด่น
- ตัวรถมีอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม เกินพอสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน
- ช่วงล่างเฟิร์ม แน่น หนึบ ให้ความมั่นใจในความเร็วสูงทั้งในทางตรงและในขณะเข้าโค้ง
- พวงมาลัยสามารถปรับเซ็ทน้ำหนักได้ถึง 3 โหมด ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกความหนัก-เบา ของพวงมาลัยให้ตรงกับความต้องการได้
- ระบบแผนที่และระบบนำทาง สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายและแม่นยำ และมองได้ง่ายจากหน้าจอกลางขนาดใหญ่ และยังสามารถใช้ค้นหาสถานีชาร์จ Supercharger ที่ใกล้เคียงหรือในเส้นทางที่เราจะเดินทางได้อย่างง่ายดาย รวมถึงยังสามารถบอกจำนวนหัวชาร์จที่ยังว่างในสถานีชาร์จไฟนั้นๆได้อีกด้วย
- ระบบ Autopilot ใช้งานได้จริง แม้ในสภาพถนนและสภาพการจราจรที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
- สถานีชาร์จ Supercharger ใช้งานสะดวกและชาร์จไฟได้เร็ว ถึงแม้จะต้องแชร์กำลังไฟให้กับรถ Tesla คันอื่นๆที่จอดชาร์จในสถานีเดียวกัน (หากไม่มีรถคันอื่นมาชาร์จในเวลาเดียวกันจะสามารถชาร์จไฟได้เร็วกว่านี้มาก)
ข้อสังเกต !!
- ช่วงล่างมีความตึงตังและแอบกระด้างอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ให้ความมั่นใจในความเร็วสูง ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่ชอบรถช่วงล่างนุ่มๆ แนะนำให้ไปทดลองขับก่อนตัดสินใจซื้อ
- ในวันที่แดดแรงและร้อน จำเป็นต้องเร่งพัดลมแอร์จนเกือบสุด จึงจะพอสู้กับแสงแดดและอากาศภายนอกได้ โดยเฉพาะผู้โดยสารตอนหลัง (ถึงแม้ว่าจะมีแอร์หลังมาให้ก็ตาม) ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากหลังคากระจกขนาดใหญ่ของรถคันนี้
- ระยะทางที่วิ่งได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ตรงตามที่เคลมเอาไว้ที่ 681 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC (ซึ่งขึ้นชื่อว่าไม่เที่ยงตรงอยู่แล้ว) แต่เราคิดว่าหากใช้งานในสภาพการจราจรในเมือง-ชานเมือง และไม่ได้กดคันเร่งหนักๆบ่อยครั้ง รถคันนี้น่าจะมีระยะทางวิ่งจริงได้มากกว่า 450 กิโลเมตรอย่างแน่นอน (ในการทดสอบ มีหลายๆช่วงที่ทดสอบอัตราเร่งและใช้ความเร็วสูงซึ่งส่งผลต่ออัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้า)
- พื้นที่วางขาแบาะแถวสอง รู้สึกแคบไปสักหน่อย และขึ้นลงไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร
ขอขอบคุณ เทสล่า ประเทศไทย ในการให้ยืมรถ Tesla Model 3 Long Range เพื่อใช้ทดสอบในครั้งนี้