วิเคราะห์ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทย ปี 2030: อนาคต EV จะเปลี่ยนไปอย่างไร?

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เป็นเพียงตลาดเฉพาะกลุ่ม แต่ในปี 2025 รถยนต์ไฟฟ้ากลายมาเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มค่าและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และมีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยมากมาย สะท้อนถึงกระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แล้วในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 2030 ตลาดรถ EV ในไทยจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แนวโน้มในอนาคตจะส่งผลต่อส่วนแบ่งตลาด ราคาขายของรถไฟฟ้า ระยะทางสูงสุดที่วิ่งได้จะเพิ่มขึ้นแค่ไหน โครงสร้างพื้นฐานและการแข่งขันในอุตสาหกรรมจะเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กัน

รถยนต์ไฟฟ้าจะครองตลาดไทยมากขึ้น

ส่วนแบ่งตลาดรถ EV ในไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จากปี 2019 ที่มีส่วนแบ่งเพียง 0.3% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เพิ่มขึ้นเป็น 1-2% ในปี 2020-2021 และขยับขึ้นเป็น 5% ในปี 2022 จนกระทั่งในปี 2023 ส่วนแบ่งตลาด EV แตะ 10% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าในปี 2030 ตลาดรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยอาจมีรถ EV เป็นสัดส่วนมากถึง 30-40% ของยอดขายทั้งหมด

 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ EV เติบโตอย่างรวดเร็วคือ ราคารถที่ต่ำกว่ารถสันดาป แต่ได้ออปชั่นและฟีเจอร์ที่มากกว่า (เทียบรถยนต์ไฟฟ้าจีน กับรถยนต์สันดาปญี่ปุ่น ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน) ค่าพลังงานไฟฟ้าที่ถูกกว่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาป และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกใช้ EV มากขึ้น

ราคาถูกลง แต่สิทธิประโยชน์อาจลดลง

นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ได้ออกมากล่าวว่า ต้นทุนหลักของรถ EV อยู่ที่แบตเตอรี่ ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 40-50% ของต้นทุนทั้งหมด โดยราคาแบตเตอรี่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากปี 2015 ที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 800-900 ดอลลาร์ต่อ kWh ลดลงเหลือ 130-150 ดอลลาร์ต่อ kWh ในปี 2023 และคาดว่าในปี 2030 อาจลดลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อ kWh

เมื่อราคาต้นทุนแบตเตอรี่ลดลง ราคาของรถ EV ก็จะลดลงตามไปด้วย คาดว่าราคาของรถ EV อาจถูกลง 20-30% เมื่อเทียบกับปัจจุบัน รถ EV รุ่นเริ่มต้น (ขนาด B-Segment) อาจมีราคาต่ำเพียง 300,000 – 400,000 บาท ทำให้สามารถแข่งขันกับรถยนต์น้ำมันได้มากขึ้น

วิ่งได้ไกลขึ้น ชาร์จได้เร็วขึ้น

เทคโนโลยีแบตเตอรี่ EV กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว รถ EV รุ่นแรกที่เข้าสู่ตลาดไทยในช่วงปี 2019-2020 วิ่งได้ระยะทางเฉลี่ย 300-450 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ในปี 2023-2024 รถ EV หลายรุ่นสามารถวิ่งได้ไกลถึง 600-700 กิโลเมตร คาดว่าในปี 2030 รถ EV บางรุ่นอาจวิ่งได้ไกลถึง 800-1,200 กิโลเมตร โดยเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ ได้แก่ แบตเตอรี่ Solid-State ที่สามารถเก็บพลังงานได้มากขึ้นเป็นสองเท่าและชาร์จได้เร็วขึ้น, ระบบ Fast Charging ที่รองรับแรงดันไฟ 800V-1000V ซึ่งสามารถชาร์จจาก 10-80% ได้ภายใน 15 นาที และระบบ Wireless Charging ที่ช่วยให้สามารถชาร์จไฟได้โดยไม่ต้องเสียบสาย การพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้ความกังวลเรื่องระยะทางและเวลาชาร์จลดลง ทำให้การใช้ EV เป็นเรื่องสะดวกมากขึ้น

REEV – Range-Extended Electric Vehicle อีกหนึ่งประเภทรถยนต์ที่น่าจับตามอง

REEV หรือชื่อเต็มๆ ว่า Range-Extended Electric Vehicle (หรืออีกชื่อคือ EREV – Extended-Range Electric Vehicle) คือรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่มีเครื่องยนต์เล็กๆ ติดมาด้วย แต่เครื่องยนต์นี้ไม่ได้เอาไว้ส่งกำลังสูล้อเหมือนกับรถยนต์ Hybrid แต่จะมีหน้าที่ “ปั่นไฟ” เพื่อชาร์จไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ ต่างจากรถไฮบริดที่เครื่องยนต์จะสามารถส่งกำลังสู่ล้อได้

Mazda EZ-6 EREV ลุ้นเข้าประเทศไทย ปลายปี 2025

ข้อดีของ REEV คือ ตัวรถมีการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเหมือนรถยนต์ไฟฟ้า แต่มีเครื่องยนต์เข้ามาช่วยทำงานเวลาแบตเตอรี่ใกล้หมด โดยเครื่องยนต์ตัวนี้จะมีอัตราการกินน้ำมันที่ต่ำ และช่วยทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะหาที่ชาร์จไม่ทัน เหมาะสำหรับคนที่อยากเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้า แต่ยังไม่มั่นใจเรื่องสถานีชาร์จว่าจะมีเพียงพอรึเปล่า โดยเฉพาะคนที่ต้องเดินทางข้ามจังหวัดเป็นระยะทางไกล ๆ ตอนนี้ REEV ก็เลยเริ่มเป็นรถอีกประเภทที่หลายคนจับตามอง โดยเฉพาะในไทย ที่โครงข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ยังไม่ครอบคลุมและยังเพียงพอต่อการใช้งาน

ตลาดรถยนต์จะเปลี่ยนไป และอาจมีบางแบรนด์อาจหายไป

การแข่งขันในตลาด EV ไทยทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบรนด์จากประเทศจีน เช่น BYD, GAC AION, MG, GWM และ NETA สามารถเข้ามาครองตลาดและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่แบรนด์ยุโรป เช่น Tesla, BMW และ Mercedes-Benz ยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มรถยนต์พรีเมียม ส่วนค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น เช่น Toyota, Honda และ Nissan ต่างก็กำลังเร่งพัฒนา EV เพื่อแข่งขันกับแบรนด์จีน ซึ่งหากแบรนด์เหล่านี้ยังไม่รีบขยับตัว อาจจะถูกรถไฟฟ้าจากจีน แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดไปได้ไม่น้อย

ในปี 2030 ตลาด EV ไทยจะมีตัวเลือกมากขึ้น แต่ด้วยกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อาจไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วยจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว แบรนด์ที่ตั้งราคาสูงเกินไป หรือไม่มีเทคโนโลยีที่โดดเด่น อาจถูกดีดออกจากตลาด แต่แบรนด์ที่มีรถยนต์ที่น่าสนใจ มีเทคโนโลยีที่โดดเด่น และค่ายรถที่สามารถรักษามาตรฐานด้านศูนย์บริการและบริการหลังการขายได้ดี ก็จะสามารถอยู่รอดในอุตสาหกรรมนี้

โครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับ EV มากขึ้น

ปัญหาหลักของ EV ในปัจจุบันคือการหาสถานีชาร์จที่ยังคงมีจำนวนจำกัด แต่สถานการณ์นี้จะเปลี่ยนไปในอนาคต ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานีชาร์จมากกว่า 3,000 จุด คาดว่าภายในปี 2025 จำนวนสถานีชาร์จจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 จุด และในปี 2030 อาจมีสถานีชาร์จมากกว่า 50,000 จุดทั่วประเทศ

ในปี 2025 นี้เทคโนโลยีการชาร์จถือว่าพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับสถานีชาร์จเมื่อ 2-3 ปีก่อน ตัวอย่างเช่น สถานีชาร์จ Huawei Ultra Fast Charger ที่ถนนบางนา-ตราด สามารถจ่ายไฟสูงสุดถึง 720 kW หรือ Tesla Supercharger รุ่นใหม่ที่อาจรองรับกำลังไฟได้สูงถึง 1 MW (1000 kW) นอกจากนี้ เทคโนโลยี Battery Swapping หรือการเปลี่ยนแบตเตอรี่แทนการชาร์จอาจถูกนำมาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มรถแท็กซี่และคนที่จำเป็นต้องเดินทางไกลเป็นประจำ เมื่อสถานีชาร์จมีจำนวนมากขึ้น และสามารถชาร์จไฟได้เร็วขึ้น อาจทำให้การใช้รถ EV สะดวกและรวดเร็วขึ้นจนไม่ต่างจากการเติมน้ำมันในปัจจุบัน

ปี 2030 รถ EV จะกลายเป็นกระแสหลัก

ตลาด EV ไทยจะเติบโตอย่างมหาศาล ในปี 2030 รถยนต์ไฟฟ้าอาจครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 40-50% ของยอดขายรถใหม่ ราคาของรถ EV จะลดลง 20-30% เทียบกับปัจจุบัน และคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่จะพัฒนาจนสามารถวิ่งได้ไกลถึง 800-1,000 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดยจะมีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากแดนมังกรเข้ามาทำตลาดเพิ่มอีกอย่างแน่นอน และอาจมีแบรนด์รถยนตบางแบรนด์ที่หายไปจากตลาดประเทศไทย

รับชมข่าวสารยานยนต์อื่นๆที่น่าสนใจ คลิกที่นี่

รับชมคลิปวีดีโอทดสอบรถของเรา คลิกที่นี

บทความที่น่าสนใจ

ครั้งแรกของ เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส กับกิจกรรม PERFORMANCE MOTORS BEACH RALLY 2018 บนเส้นทางกรุงเทพฯ – หัวหิน

idiot

Nissan Terra 2.3 VL 7AT และ Navara EL 7AT Black Edition คว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมปี 2019

idiot

จีนกำลังจะแซงหน้าญี่ปุ่น กลายเป็นผู้ส่งออกรถยนต์อันดับ 1 ของโลก

idiot

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy