“รถเก่าแลกใหม่” จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้จริงหรือไม่ ?

ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะซบเซา ภาครัฐบาลได้พยายามผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านหลากหลายแนวทาง โดยหนึ่งในนโยบายที่ถูกพูดถึงอย่างมากในวงกว้างคือ “โครงการรถเก่าแลกใหม่” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการซื้อรถยนต์ใหม่ในประเทศไทย เป็นการช่วยกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ ให้สามารถผลิตและขายรถยนต์ได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า บริษัทรถยนต์ดั้งเดิมในไทยเจอผลกระทบจาก “รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน” ที่สามารถทำยอดขายได้สูง และเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด อีกทั้งรถยนต์เหล่านี้ส่วนมากยังนำเข้ามาทั้งคันจากประเทศจีนอีกด้วย และในขณะเดียวกันก็หวังว่าจะช่วยลดปริมาณรถยนต์เก่าที่ปล่อยมลพิษสูงออกจากถนนในประเทศไทย

รถเก่าแลกใหม่
ยอดจองรถยนต์ในงาน Motor Show 2025 จะเห็นได้ว่าแบรนด์รถยนต์จากประเทศจีน
เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดได้มาก โดย BYD สามารถทำยอดจองสูงสุดในงานที่จำนวน 9,819 คัน

แนวคิดเบื้องหลังโครงการ “รถเก่าแลกใหม่”

ตามที่มีรายงานจากแหล่งข่าวหลายสำนัก โครงการ “รถเก่าแลกใหม่” ในขณะนี้ยังอยู่ภายใต้การพิจารณาของรัฐบาล โดยยังไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ เบื้องต้นแนวคิดคือให้เจ้าของรถยนต์ที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถนำรถเก่าของตนมาแลกรับส่วนลดหรือเงินสนับสนุนจากภาครัฐ สูงสุดถึง 100,000 บาท เมื่อนำไปซื้อรถยนต์ใหม่

แนวทางนี้มีลักษณะคล้ายกับมาตรการที่หลายประเทศเคยนำมาใช้ เช่น สหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2009 ที่มีโครงการ “Cash for Clunkers” หรือประเทศญี่ปุ่นที่มีนโยบายสนับสนุนการรีไซเคิลยานยนต์เก่า เพื่อเร่งกระตุ้นยอดขายรถใหม่ในประเทศ

ใครบ้างที่ได้ประโยชน์?

  1. ประชาชนทั่วไป – หากโครงการนี้เกิดขึ้นจริง กลุ่มประชาชนที่มีรถยนต์เก่าอายุเกิน 10 ปี จะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการรับสิทธิ์ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายบางส่วนในการซื้อรถใหม่ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญคือราคาของรถใหม่ โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ คนจำนวนไม่น้อยอาจยังไม่พร้อมแบกรับภาระหนี้เพิ่ม แม้จะได้ส่วนลดจากรัฐก็ตาม จึงอาจไม่เกิดการซื้อรถยนต์คันใหม่ แต่ก็มีคนอีกไม่น้อยที่มีกำลังซื้อ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากโครงการนี้
  2. ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ – อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ (คิดเป็น 10-12% ของ GDP) ได้รับผลกระทบจากยอดขายที่ชะลอตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การกระตุ้นให้เกิดดีมานด์ใหม่ในตลาดอาจช่วยให้โรงงานประกอบรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์เชิงบวก ทั้งในด้านยอดขายและการจ้างงาน
  3. ภาครัฐ – รัฐบาลย่อมได้คะแนนนิยมจากการส่งเสริมแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ผ่านการลดการใช้รถยนต์เก่า ลดการปล่อยมลพิษ และส่งเสริมเทคโนโลยีรถยนต์ที่ทันสมัยมากขึ้น

มีรถเก่าที่เข้าเกณฑ์มากแค่ไหน ?

จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก ณ ปี 2566 มีรถยนต์จดทะเบียนสะสมในประเทศไทยกว่า 40 ล้านคัน และในจำนวนนี้ประมาณ 8-10 ล้านคัน เป็นรถที่มีอายุเกิน 10 ปี โดยหากเพียง 10% ของรถกลุ่มนี้เข้าร่วมโครงการ ก็จะหมายถึงยอดขายรถใหม่กว่า 800,000 – 1,000,000 คัน ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่อุตสาหกรรมยานยนต์จับตามองอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม ปริมาณรถที่เข้าเกณฑ์ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสามารถหรืออยากจะเข้าร่วมโครงการ เพราะข้อจำกัดด้านกำลังซื้อ และความจำเป็นที่แท้จริงของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน

บทบาทของแบรนด์รถยนต์ในโครงการ

สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นค่ายญี่ปุ่น อเมริกัน หรือยุโรป ต่างเฝ้าจับตารอนโยบายนี้ เนื่องจากสามารถออกแบบโปรโมชั่นเสริมเพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น ออกรถดาวน์ 0 บาท ผ่อนนานพิเศษ หรือมอบส่วนลดเพิ่มเติมบนยอดเงินจากรัฐ

อย่างไรก็ตาม ค่ายรถเองก็มีความท้าทาย หากรัฐไม่ชัดเจนในเรื่องรายละเอียด เช่น การคัดแยกรถที่เข้าร่วมเงื่อนไข กระบวนการตีราคารถเก่า การทำลายหรือรีไซเคิลรถเก่า และการจ่ายเงินจากรัฐให้เป็นระบบ หากไม่มีความชัดเจน แบรนด์รถอาจลังเลในการปรับแผนการตลาด

ข้อพิจารณาและความเป็นไปได้

แม้แนวคิดดูน่าสนใจ แต่ก็ยังมีคำถามสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบ เช่น:

  • งบประมาณของโครงการจะมาจากที่ใด? และเพียงพอหรือไม่ หากมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก
  • จะควบคุมไม่ให้มีการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบได้อย่างไร เช่น การซื้อรถเก่ามาแลกสิทธิ์เพื่อหวังเงินสนับสนุน
  • จะมีมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่? ซึ่งจะสอดรับกับเป้าหมายการเป็น EV Hub ของไทย
  • สถานะของผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถจ่ายค่างวดรถใหม่ได้ แม้จะมีส่วนลดจากโครงการ จะมีโครงการช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือไม่?

บทสรุป: โครงการ “รถเก่าแลกใหม่” เป็นโอกาสหรือภาพลวงตา?

นโยบาย “รถเก่าแลกใหม่” เป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่การนำมาใช้จริงต้องอาศัยการวางแผนที่รัดกุม โปร่งใส และมีระบบสนับสนุนที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคไทยอย่างแท้จริง

หากออกแบบได้ดี โครงการนี้อาจกลายเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ในระยะสั้น และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์สะอาดในระยะยาว แต่หากขาดความพร้อมทางนโยบาย งบประมาณ และการกำกับดูแล อาจกลายเป็นเพียง “นโยบายประชานิยม” ที่สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงในเชิงโครงสร้าง ในท้ายที่สุด โครงการนี้จะ “แลกใหม่” ได้จริงหรือไม่ อาจไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับอายุของรถ แต่ขึ้นอยู่กับ “ความจริงใจ” และ “ความพร้อม” ของรัฐบาลเองที่จะขับเคลื่อนนโยบายนี้ให้ไปได้ไกลกว่าคำโฆษณา

รับชมข่าวสารยานยนต์อื่นๆที่น่าสนใจ คลิกที่นี่

รับชมคลิปวีดีโอทดสอบรถของเรา คลิกที่นี

บทความที่น่าสนใจ

Bugatti โชว์ทดสอบ Divo Hypercar รูปลักษณ์ดุดัน ภายใต้อากาศที่ร้อนระอุ

idiot

เปิดตัวแล้วที่บ้านเกิด All-New Nissan Note กลับมาครั้งนี้พกระบบส่งกำลังไฟฟ้ามาด้วย

idiot

Mitsubishi Eclipse Cross คว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2562 ที่ญี่ปุ่น

idiot

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy