ทำไมถึงควรซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง?
การซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือสองเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายและมีส่วนช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อม แม้ว่าแนวทางการซื้อจะไม่แตกต่างจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป แต่ยังมีรายละเอียดเฉพาะที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
สิ่งที่ต้องตรวจสอบก่อนซื้อ
-
ประวัติการใช้งาน
ตรวจสอบประวัติการบำรุงรักษาและการซ่อมแซมเพื่อมั่นใจในสภาพของรถ -
แบตเตอรี่
แบตเตอรี่คือส่วนสำคัญที่สุด ตรวจสอบการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ และตรวจสอบว่ามีการรับประกันหรือไม่ -
ระบบการชาร์จ
ควรพิจารณาวิธีการและที่ชาร์จที่คุณจะใช้ เช่น ถ้าคุณมีที่ชาร์จที่บ้าน ควรเลือกใช้ Level 2 ซึ่งเหมาะสมกับการใช้งานทั่วไป -
ฟีเจอร์และเทคโนโลยี
ตรวจสอบว่าเทคโนโลยีในรถยนต์ทันสมัยและมีการสนับสนุนซอฟต์แวร์ -
บริการและบันทึกการบำรุงรักษา
ขอให้ผู้ขายแสดงบันทึกการบริการเพื่อความมั่นใจในคุณภาพรถ
การตรวจสอบแบตเตอรี่
การเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่สามารถตรวจสอบได้โดยการดูจากการแสดงผลในระบบหรือให้ช่างที่มีความชำนาญตรวจสอบ แบตเตอรี่ที่มีสุขภาพดีควรมีระดับการเสื่อมสภาพไม่เกิน 30% โดยทั่วไปแล้ว แบตเตอรี่ควรมีการรับประกันประมาณ 8 ปีหรือ 100,000 ไมล์
การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
มี 3 ประเภทของที่ชาร์จ: Level 1, Level 2 และ Level 3 ซึ่งแต่ละประเภทมีความเร็วในการชาร์จที่แตกต่างกัน ควรตรวจสอบว่ารถที่คุณสนใจมาพร้อมกับสายชาร์จที่ทำงานได้ดี
ความสำคัญของ Heat Pump
การมีระบบ Heat Pump จะช่วยเพิ่มระยะทางในการขับขี่ในสภาพอากาศหนาวเย็น และทำให้ภายในรถมีอุณหภูมิที่สบาย คุณควรพิจารณารถที่มีฟีเจอร์นี้หากมีงบประมาณ
ซอฟต์แวร์และอิเล็กทรอนิกส์ในรถ
ตรวจสอบให้แน่ใจว่ารถที่คุณสนใจมีซอฟต์แวร์ล่าสุดและฟังก์ชันต่างๆ ทำงานได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์มากกว่ารถที่ใช้เชื้อเพลิง
การประเมินค่าเสื่อมราคา
การซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือสองช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการเสื่อมราคามากมายที่เกิดจากการซื้อรถใหม่ รุ่นที่มีค่าเสื่อมราคาต่ำ เช่น Tesla Model 3 ควรเป็นทางเลือกที่ดี
สรุป
การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือสองอาจเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด หากเจ้าของก่อนหน้านี้ดูแลรถดี นอกจากนี้ยังมีสิทธิ์ได้รับการลดภาษีจากรัฐบาล ซึ่งอาจช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย
แหล่งที่มา : insideevs