ความอัจฉริยะของ “เทอร์โบไฟฟ้า” – เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเกมเครื่องยนต์สันดาป

“เทอร์โบไฟฟ้า” (Electric Turbocharger) ไม่ได้แค่ช่วยลดอาการ “เทอร์โบแลค” จนแทบหมดไปเท่านั้น แต่มันยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังทางวิศวกรรมที่น่าสนใจและมีผลโดยตรงต่อ ประสิทธิภาพความร้อน (Thermal Efficiency) ของเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นจุดที่เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดั้งเดิมเสียเปรียบรถยนต์ไฟฟ้ามาโดยตลอด

เทอร์โบชาร์จเจอร์คืออะไร?

หน้าที่หลักของ เทอร์โบชาร์จเจอร์ คือการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ โดยอาศัยแรงดันไอเสียหมุนกังหันที่เชื่อมกับคอมเพรสเซอร์ ส่งอากาศที่มีความหนาแน่นสูงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ เพิ่มกำลังและลดพลังงานที่สูญเปล่าในรูปของความร้อน ถือเป็นการใช้ “พลังงานทิ้ง” อย่างคุ้มค่า

แล้วเทอร์โบไฟฟ้าทำอะไรเพิ่ม?

เทอร์โบไฟฟ้าใส่มอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปในแกนกลางระหว่างกังหันกับคอมเพรสเซอร์ ทำให้สามารถหมุนเทอร์โบได้โดยไม่ต้องรอแรงดันไอเสีย ช่วยให้:

  • แทบไม่เกิดอาการเทอร์โบแลค

  • เพิ่มแรงบูสต์ได้เร็วขึ้น

  • เพิ่มแรงบูสต์ได้มากขึ้น

  • ควบคุมรอบหมุนได้แม่นยำขึ้น

  • และยังสามารถ “รีเจนพลังงาน” กลับได้

ประสิทธิภาพความร้อน: จุดที่เครื่องยนต์สันดาปยังแพ้ EV

เครื่องยนต์สันดาปทั่วไปมี ประสิทธิภาพความร้อนเพียง 30-40% ซึ่งหมายความว่าอีก 60-70% ของพลังงานเชื้อเพลิงสูญไปเป็นความร้อน เช่นเดียวกับกรณีของ Toyota ที่เคยโฆษณาใหญ่โตกับเครื่องยนต์ Dynamic Force ที่มีประสิทธิภาพ 40% ในช่วงปลายปี 2010s

ในทางตรงกันข้าม มอเตอร์ไฟฟ้ามี ประสิทธิภาพไฟฟ้าสูงถึง 75-90% หมายความว่ารถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานได้คุ้มค่ากว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเทอร์โบเข้ามาช่วย มันช่วยลดช่องว่างนั้นได้ แม้จะยังไม่เทียบเท่า EV เต็มรูปแบบ

พลังของเทคโนโลยี F1 ที่ถูกส่งต่อสู่ถนน

Mercedes-AMG เคยประกาศว่าเครื่องยนต์ F1 ของพวกเขาที่ใช้เทอร์โบไฟฟ้าแบบ MGU-H (Motor Generator Unit – Heat) มีประสิทธิภาพความร้อนเกิน 50% นับเป็นครั้งแรกๆ ที่เครื่องยนต์สันดาปสามารถแปลงพลังงานเชื้อเพลิงได้มากกว่าครึ่งเป็นพลังงานที่ใช้งานได้จริง

ต่อมา AMG ได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในรถถนน เช่น Mercedes-AMG C43 และ C63 รุ่นใหม่

Porsche เองก็พัฒนาไปอีกขั้นใน 911 Carrera GTS ไฮบริด โดยติดตั้งเทอร์โบไฟฟ้าขนาด 14.7 แรงม้าบนเทอร์โบ BorgWarner โดย ไม่มีวาล์วเวสต์เกต แต่ใช้มอเตอร์ควบคุมแรงบูสต์แทน พร้อมสร้างพลังงานไฟฟ้ากลับคืนมาสำหรับใช้ในมอเตอร์ขับเคลื่อนกำลัง 53.6 แรงม้า ที่อยู่ระหว่างเครื่องยนต์และเกียร์

น้ำหนักและความซับซ้อน: จุดตัดสินใจของค่ายรถ

แม้เทอร์โบไฟฟ้าจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสีย เช่น น้ำหนักเพิ่มขึ้น ความซับซ้อนทางวิศวกรรม และต้นทุนสูง นี่คือเหตุผลที่ค่ายอย่าง McLaren ยังเลือกใช้เทอร์โบแบบดั้งเดิมในรุ่น W1 โดยให้เหตุผลว่าอยากใช้พลังงานไฟฟ้าไปกับมอเตอร์ขับเคลื่อนมากกว่าเพิ่มน้ำหนักให้กับเทอร์โบ

แล้วอนาคตของเทอร์โบไฟฟ้าจะเป็นอย่างไร?

แม้เทคโนโลยีนี้จะเกิดใน F1 แต่ในปีหน้ากลับจะถูกถอดออกจากกติกา F1 ใหม่ เพื่อลดต้นทุนและเปิดทางให้ผู้ผลิตรายใหม่อย่าง Audi, Ford, และ GM เข้ามามากขึ้น นับเป็นความย้อนแยกที่น่าสนใจ เพราะในขณะที่ F1 ทิ้งเทอร์โบไฟฟ้า รถถนนระดับไฮเอนด์กลับเริ่มนำมาใช้จริงมากขึ้น

สรุป: เทอร์โบไฟฟ้า คือการไม่ปล่อยพลังงานให้สูญเปล่า

เทอร์โบไฟฟ้าไม่ใช่คำตอบของรถยนต์ทุกคัน แต่มันคือตัวอย่างของวิศวกรรมที่พยายามใช้ทุกหยดพลังงานให้คุ้มค่าที่สุด เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์แบบดั้งเดิมให้เข้าใกล้ระดับของ EV มากขึ้น ทั้งในแง่สมรรถนะและการใช้พลังงาน

แม้จะไม่ใช่เทคโนโลยีที่เหมาะกับรถทุกระดับราคา แต่สำหรับรถสมรรถนะสูง เทอร์โบไฟฟ้าคือหนึ่งในนวัตกรรมที่น่าจับตามองที่สุดในยุคนี้

 

Cr.motor1

บทความที่น่าสนใจ

เปิดตัว Bugatti La Voiture Noire ไฮเปอร์คาร์หนึ่งเดียวในโลก ราคาเหยียบ 600 ล้านบาท!

idiot

Mazda เผยโฉมรถยนต์รุ่นพิเศษ 3 รุ่น สไตล์คลาสสิกที่มีจำนวนจำกัด ฉลองครบรอบ 100 ปี

idiot

รอยาวๆ Lamborghini เผยรถ EV รุ่นแรกของค่ายจะมาในปี 2027 หรือ 2028

idiot

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy