รถยนต์นั่งเอนกประสงค์ หรือ SUV กลายเป็นทางเลือกใหม่ๆ ของครอบครัวสมัยใหม่ต้องการ เพราะด้วยรูปลักษณ์ของตัวรถที่ดูบึกบึน พื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชั่นต่างๆภายในรถที่มีมากกว่ารถยนต์นั่งทั่วไป และที่สำคัญความสูงของตัวรถที่เหนือกว่ารถซีดาน ยิ่งทำให้ผู้ใช้่รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่อนั่งอยู่บน SUV
ปัจจุบันนี้ รถยนต์ SUV สามารถสร้างส่วนแบ่งการตลาดมาจากรถยนต์นั่งได้ไม่น้อย รวมถึงมีผู้เล่นในตลาด SUV มากขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่ารถ SUV เป็นสินค้าที่ตลาดให้ความสนใจไม่น้อย
และแบรนด์รถยนต์ ฮอนด้า คือผู้นำในตลาดรถยนต์ SUV ของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นฮอนด้า CR-V ที่ครองความเป็นเจ้าตลาดรถ SUV ขนาดกลางใหญ่ และ HR-V ที่ครองแชมป์ SUV ขนาดกลางของตลาดเมืองไทยมาตั้งแต่รถทั้ง 2 รุ่นนี้เปิดตลาดในเมืองไทย โดย HR-V นั้นมียอดขายสะสมมากถึง 66,000 คันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม การขึ้นเป็นเบอร์ 1 และรักษาความเป็นเบอร์ 1 เอาไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผ่านมามีคู่แข่งกระโดดเข้ามาแข่งขันในตลาดกลุ่มนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งฮอนด้า เองต้องปรับตัวเพื่อรักษาตำแหน่งแชมป์ให้ได้ยาวนานที่สุด
ล่าสุดฮอนด้า ได้เปิดตัวเจ้าฮอนด้า HR-V ใหม่ในเวอร์ชั่น 2018 ไปเมื่อไม่นานนี้ โดย HR-V ใหม่โฉม 2018 มีการปรับเปลี่ยนตัวเองมากพอตัวทีเดียว ซึ่งการเปิดตัว ฮอนด้า HR-V 2018 นี้ฮอนด้า กั๊กอยู่นานทีเดียว โดยรอดูยอดขายคู่แข่งตลอดกาลอย่าง โตโยต้า C-HR ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปีว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากน้อยแค่ไหนเสียก่อน
HR-V ใหม่ นี้ก็เลยต้องจัดเต็ม เพื่อจะได้แข่งกับ โตโยต้า C-HR ได้แบบสมน้ำสมเนื้อหน่อย โดยสิ่งแรกที่ฮอนด้าทำคือ จับรุ่นเก่ามาแต่งหน้าทาปากใหม่ และเพิ่มรุ่น RS ใหม่ และสีใหม่ สีแดงแพสชั่น (มุก) ใหม่ขึ้นมาเป็นรุ่นท็อป พร้อมเพิ่มออปชั่นด้านความปลอดภัยเพิ่มเข้ามา ในราคา 1,119,000 บาท หรือขยับเพิ่มจากรุ่นท็อปเดิมประมาณ 20,000 บาทเท่านั้น เมื่อมีรุ่นท็อปใหม่มาแบบนี้ www.carvariety.com ก็ต้องไปลองขับเจ้า HR-V ใหม่ กันหน่อยว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
เริ่มจากภายนอกของ HR-V ใหม่ รุ่น RS นั้นแน่นอนว่าเมื่อใช้ชื่อรุ่นว่า RS แบบนี้ต้องเน้นความเป็นสปอร์ตมาเป็นอันดับแรก ตั้งแต่ กระจังหน้าดีไซน์ใหม่โครเมียมรมดำแบบสปอร์ต ส่วนไฟหน้ามาแล้วกับ Full LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED หรือ เดย์ไทม์รันนิ่ง
ถามว่าสวยมั้ย!! ก็ต้องบอกว่าดูทันสมัยขึ้น ดูดีมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมครับ แถมยังมีชายกันกระแทกด้านข้างสีดำแบบสปอร์ตมาด้วย มือจับเปิดประตูด้านหน้าก็เป็นแบบโครเมียมรมดำ กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ต ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 215/55 R17 นิ้วแบบสปอร์ต ไฟท้ายก็เป็น LED แบบ TUBE และสัญลักษณ์ RS บนฝากระโปรงท้าย ดูแล้วเท่ขึ้นไม่น้อยเลย
ชะโงกหน้าเข้าไปดูที่ตำแหน่งคนขับ ก็เห็นแป้นเหยียบคันเร่งและเบรกเป็นแบบสปอร์ตด้วย แต่เอ…..ไอ้เจ้าแป้น 2 แป้นนี้ไม่มีใครเห็นนี่นา นอกจากคนขับ แล้วแต่งมาทำไมหว่า… เอ้าถือว่าเพิ่มให้เท่ขึ้นละกัน
ส่วนภายในนั้นเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ ดูดีครับทันสมัยมากขึ้น แต่ที่เด่นที่สุดภายในของเจ้า HR-V ก็คือเบาะนั่งที่สามารถปรับพับได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Utility Mode, Tall Mode และ Long Mode เรียกว่าเจ้าของรถสามารถปรับเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่สัมภาระได้ตามที่ใจต้องการ หรือตามขนาดของสัมภาระได้เลย และการปรับพับเบาะได้ 3 รูปแบบนี้ถือเป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัวของฮอนด้า HR-V ด้วยที่สามารถปรับเบาะได้มากแบบขนาดนี้ คู่แข่งไม่มีใครปรับเบาะได้แบบนี้เลยครับ ทำได้มากสุดก็แค่ปรับเบาะที่นั่งแถว 2 ลงมาราบกับพื้นรถเท่านั้น
จุดนี้ผมถือว่า HR-V ใหม่ ทำได้เด็ดดวงที่สุดแล้ว และเป็นจุดเด่นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ HR-V กลายเป็นรถสำหรับครอบครัวที่เจ๋งมากสำหรับครอบครัวที่ต้องการพื้นที่บรรทุกสัมภาระเยอะๆ ส่วนพื้นที่สำหรับผู้โดยสารตอนหลังก็กว้างขวางเอาการ ไม่อึดอัดแต่อย่างใดนั่งสบายด้วย ไม่มีปัญหาหากต้องใช้สำหรับการเดินทางไกลๆ
ก้าวเข้าไปตำแหน่งคนขับหน่อยดีกว่า พวงมาลัยหุ้มหนังแบบมัลติฟังก์ชั่น ยังดูดีอยู่ ปุ่มควบคุมด้านซ้ายใช้ควบคุมเครื่องเสียง รวมถึงรับ-วางสายโทรศัพท์ ปุ่มควบคุมด้านขวา ใช้สำหรับเปิด-ปิดระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ซึ่งน่าเสียดายที่ฮอนด้า ยังไม่ยอมเปลี่ยนระบบนี้ให้เป็นระบบควบคุมความเร็มอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) เหมือนอย่างที่มีในฮอนด้า แอคคอร์ด น่าเสียดายครับ น่าเสียดาย ผมว่าจุดนี้ฮอนด้า ประหยัดไม่เข้าเรื่อง
มาตรวัดรอบ มาตรวัดความเร็ว และจอแสดงผลต่างๆ บริเวณคอนโซลหน้า ทันสมัยดีครับ เพราะเป็นมาตรวัดแบบดิจิตอลหมดแล้ว ดูกระจ่างตาอ่านง่ายดี ส่วนคอนโซลกลาง จะมีจอเครื่องเสียงแบบสัมผัสขนาดใหญ่ ถัดลงมาด้านล่างเป็นแผงควบคุมระบบปรับอากาศแบบสัมผัสทั้งหมด
และถ้าแหงนมองขึ้นไปบนเพดานก็จะพบกับ หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าแบบวันทัช ทำให้การเปิด-ปิดทำได้ง่ายดีทีเดียว เจ้าหลังคาซันรูฟนี้ หากมองในแง่ของประโยชน์แล้วต้องบอกว่ามีมาให้น้อยมากกับประเทศเมืองร้อนแบบบ้านเรา
แต่หากมองในแง่ของความเท่ความไม่เหมือนใครก็ต้องปล่อยให้มีออปชั่นนี้ไป เพราะแม้จะเป็นฟังก์ชั่นที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่ลูกค้าเองก็เรียกร้องอยากให้รถยนต์ของตัวเองมี แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็ตาม ก็เลยทำให้ออปชั่นหลังคา ซันรูฟ เป็นออปชั่นที่ยังคงมีจำหน่ายอยู่ต่อไป และตลอดไปแน่นอน
กดปุ่มสตาร์ทกันเลย เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นบาๆ ซึ่งผมเองค่อนข้างที่จะประทับใจกับเครื่องยนต์ของ HR-V ใหม่ นะครับที่เดินของข้างเงียบและราบเรียบดีทีเดียว เหมาะอย่างยิ่งกับการเป็นรถยนต์ของครอบครัวเลยครับ ถ้าแค่สตาร์ทเครื่อง ยังไม่ได้เข้าเกียร์อะไร แอร์เย็นเพลงเพราะก็โอเคแล้วน่ะสำหรับผม ลุ้นก็แค่ความร้อนที่จะระอุลงมาจากหลังคาซันรูฟมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง ถ้าอยู่ในฤดูฝนแบบนี้ละก็ไม่มีปัญหาเปิดม่านซันรูฟ คอยมองเมฆฝน หรือรอดูเม็ดฝนปะทะกับหลังคาก็โรแมนติกดีไม่น้อย
ลองขับกันเลยดีกว่าครับ เพราะฟังก์ชั่นที่สำคัญๆของ HR-V ใหม่ 2018 นั้นจะเป็นฟังก์ชั่นในส่วนของความปลอดภัยที่น่าพูดถึงมากกว่า
เข้าเกียร์ D ทันที เจ้า HR-V ใหม่ 2018 ก็เคลื่อนตัวไปแบบผู้ดี ไม่อาการกระชากให้เสียความรู้สึก ก็ต้องบอกว่าเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด1.8 ลิตร SOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว 141 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 172 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที ที่มาพร้อมกับระบบเกียร์ CVT ใหม่ นั้นยังทำงานได้ดีครับ
แต่น่าเสียดายที่ ฮอนด้า ไม่มีเครื่องยนต์ตัวใหม่ใน HR-V ที่เป็นเจนเนอเรชั่นนี้ แม้ว่าเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตรตัวนี้ จะมีอัตราการตอบสนองที่ดีและกินน้ำมันไม่ค่อยมากก็ตาม และยังสามารถเติมน้ำมัน E85 ได้เหมือนรุ่นเดิมด้วย แต่ในส่วนตัวผมก็ยังอยากเห็นเครื่องยนต์ที่ดีกว่านี้ อย่างเช่นเครื่องยนต์ไฮบริด มาใส่ไว้ในรถกลุ่มนี้เช่นกัน
อัตราเร่งอยู่ในระดับที่ไว้ใจได้ครับ ในย่านความเร็วปกติไม่มีปัญหาอะไร การเร่งแซงไม่ถึงกับหลังติดเบาะแต่ก็พุ่งพอตัวไม่ขี้เหร่มากมากนัก แต่หากเทียบกับอัตราเร่งของคู่แข่งอย่าง โตโยต้า C-HR เครื่องไฮบริด ต้องยอมรับว่าโตโยต้า C-HR ไฮบริดออกตัวและเร่งแซงดีกว่ามากครับ
แม้ว่าอัตราเร่งจะดูธรรมดาๆ แต่หาก อยากซิ่ง เราก็สามารถแปลงร่างเจ้า HR-V ใหม่ 2018 นี้ให้ซิ่งได้ ด้วยการเปลี่ยนเกียร์มาเป็นเกียร์ S ที่ทำให้อัตราเร่งกระฉับกระเฉงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หรือจะเลือกปรับเปลี่ยนเกียร์เองด้วยแป้น paddle shift ที่อยู่ด้านหลังพวงมาลัยก็จะทำให้ HR-V ใหม่ 2018 ขับสนุกมากขึ้นแน่นอน
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าประหลาดใจคือ ช่วงล่างของ HR-V ใหม่ 2018 ค่อนข้างจะนุ่มนวลเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะยางของรุ่นนี้ที่นุ่มกว่าก็อาจจะเป็นไปได้ครับ ทำให้ดูว่าเจ้ารถคันนี้เหมาะกับรถครอบครัวเข้าไปใหญ่ แม้ว่าหน้าตาจะสปอร์ต แต่เมื่อนั่งแล้วเน้นสบายมากกว่าสปอร์ตครับ
การทรงตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากครับ ไว้ใจได้เลยแม้จะขับด้วยความเร็วสูง ช่วงล่างก็ไม่ปรากฏอาการส่าย หรือร่อนให้รู้สึกเหวอแต่อย่างใด พวงมาลัยก็แม่นยำดีครับ น้ำหนักเบามือในความเร็วต่ำแต่หน่วงมือเมื่อความเร็วสูง เหมาะสำหรับทั้งขับขี่ในเมือง และต่างจังหวัด
เอาละมาถึงฟังก์ชั่นที่ฮอนด้าใส่มาใน HR-V ใหม่ 2018 กันแล้ว อย่างระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ที่จะมีไฟเตือนบริเวณกระจกมองข้างทั้งด้านซ้าย-ขวา เมื่อมีรถแซงขึ้นมาในมุมอับสายตา ระบบนี้แม้ว่าจะไม่ได้ใหม่ในวงการรถยนต์แต่มันเป็นระบบที่ดีมาก เมื่อเราต้องขับขี่ในเมืองที่มีรถมอเตอร์ไซค์มากกว่ายุงในบ้าน ระบบนี้ช่วยให้เราปลอดภัยขึ้นเวลาจะเปลี่ยนเลนไปซ้ายหรือขวา
และยังมีระบบเตือนและช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ (City Brake Active System) โดยระบบนี้จะทำงานที่ความเร็วตั้งแต่ 5-30 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยระบบจะมีสัญญาณเตือนปรากฏที่มาตรวัดด้านหน้าผู้ขับ
หากรถเคลื่อนที่ไปหาวัตถุด้านหน้าโดยไม่มีการผ่อนคันเร่ง หรือเหยียบเบรก และเมื่อถึงระยะกระชั้นชิดแล้ว ยังไม่มีการเบรกจากผู้ขับ ระบบจะเบรกรถให้โดยอัตโนมัติทันที ระบบนี้ดีมากครับกับพฤติกรรมของคนขับรถสมัยนี้ที่เวลารถติด จะเล่นกันแต่มือถือ ตามัวแต่มองหน้าจอโทรศัพท์ไม่มองถนนข้างหน้า ระบบนี้ก็จะเข้ามาช่วยอีกชั้นหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมี ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ที่จะช่วยล็อครถอัตโนมัติทันที เมื่อคุณเดินห่างจากตัวรถ ระบบนี้จะแก้ไขปัญหาการลืมล็อครถได้ 100% เหมาะอย่างยิ่งกับเจ้าของรถที่ขี้ลืมทั้งหลาย และยังเพิ่ม กล้องมองภาพด้านหลัง ที่ปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) คือมุมแคบ มุมกลาง และมุมกว้าง เอากันให้เต็มที่ไปเวลาถอยหลัง น่าเสียดายยังไม่มีระบบกล้องมองรอบคันมาให้ด้วย ถ้าอย่างนั้น Perfect!!
ถุงลมนิรภัยให้มา 6 ลูก จะได้ไม่ต้องมาถามกันมากนักเพราะ C-HR เขาให้มา 7 ลูกก็ถือว่าแข่งกันไปสนุกๆ ลูกค้าได้ประโยชน์ไม่มีอะไรให้คอมเมนต์อยู่แล้ว มีระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) มีสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS) เบรกมือเป็นเบรกมือไฟฟ้าแล้ว ไม่ต้องมีก้านเบรกมือให้เกะกะอีกต่อไป
มีระเบรก HOLD เอาไว้ใช้เวลารถติดตามแยกเราไม่ต้องมาเข้า P ให้ต้องมาเปลี่ยนเกียร์เป็น D เวลารถขับทีละนิด คราวนี้เวลารถติดก็กดปุ่ม HOLD ขณะที่เกียร์เรายังอยู่ D โดยเราไม่ต้องเหยียบเบรกแล้ว แต่รถจะหยุดเมื่อรถเคลื่อนตัวเราก็แค่เหยียบคันเร่งไปได้เลย ระบบก็จะคลายเบรกและเคลื่อนตัว และเมื่อเราหยุดรถระบบ HOLD ก็จะทำงานต่อ โดยเราจะยกเลิกระบบ HOLD ทำงานก็ต่อเมื่อต้องกดปุ่ม HOLD ซ้ำอีกครั้งระบบก็จะยกเลิกโดยอัตโนมัติ
HR-V ใหม่ รุ่น RS สนนราคา 1,119,000 บาท
แต่หากรุ่นเริ่มต้นคือรุ่น รุ่น E ราคา 949,000 บาท
รุ่น EL ราคา 1,059,000 บาท ราคาก็จะลดหลั่นกันตามออปชั่นที่หายไป ถ้าไม่คิดอะไรมาก รุ่น E ที่ราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท ก็พอใช้แล้วครับ กับรถครอบครัวที่นั่งสบายๆกันทั้งพ่อแม่ลูก
แต่หากใครต้องการฟังก์ชั่นที่ครบๆ รุ่น RS ก็เป็นคำตอบที่ถูกต้องและเข้าทางที่สุด สำหรับรถ SUV ขนาดกลางที่เข้าท่าที่สุดในตลาดรถยนต์เมืองไทยในวันนี้