หลังจากที่อัดอั้นมานานกับการทำงาน เมื่อสถานการณ์ไวรัสร้ายโควิด-19 คลี่คลายลง คราวนี้ก็ถึงทีเขียนใบลาพักร้อนออกไปชาร์ทแบตชีวิตกันแล้ว สำหรับการเดินทางในทริปนี้เราแพลนกันไว้ 4 คืน 5 วัน ในช่วงกลางเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวพอดี และจังหวัดที่โดดเด่นไปด้วยวิวทิวเขาหน้านี้ ก็คงหนีไม่พ้นจังหวัดน่าน สายฝนที่โปรยปรายทำให้ต้นไม้และใบหญ้าที่ปกคลุมขุนเขานั้นเขียวชะอุ่ม เหมาะแก่การเอาสายตาไปพักเป็นที่สุด โดยการเดินทางในครั้งนี้มีสมาชิกร่วมเดินทางทั้งหมด 5 คน พร้อมกับยานพาหนะคู่ใจอย่าง Nissan terra ที่มีห้องโดยสารที่กว้างขวาง พร้อมกับช่องเก็บสัมภาระท้ายขนาดใหญ่และยังสามารถพับเบาะแถว 3 ได้แบบ 50:50 และเบาะแถว 2 แบบ 60:40 เพื่อบรรจุสิ่งของสัมภาระตามที่ต้องการ (ต้องบอกเลยว่าไม่น้อย) ฉะนั้นอย่ารอช้า รีบแพ็คกระเป๋า เติมน้ำมันให้เต็มถัง แล้วออกเดินทางกันเลยดีกว่า เอ้อ..ลืมบอกไป เชื้อเพลิงที่ใช้ในการเดินทางครั้งนี้ คือ ดีเซล B10 นะ เดี๋ยวจบทริปเรามาดูกันสิว่า อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้ำมันจะอยู่ที่กี่กิโลเมตร/ลิตร Let’s go.
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้เราเลือกใช้เส้นทางตาม Google Maps โดยใช้ถนนสายเอเชีย มุ่งตรงไปสู่ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ดอยเสมอดาว โดยมีระยะทางอยู่ที่ 638 กิโลเมตรจากจุดสตาร์ท ต้องบอกก่อนการเดินทางครั้งนี้เรามีคติว่า 4 คืน นอน 4 ที่ กางเต็นท์กันให้มันส์ไปเลย (นานๆ ทีไปต้องเที่ยวให้คุ้ม อิอิ) เนื่องจากเป็นการเดินทางระยะไกลช่วงทางตรงยาวๆ ขอใช้เทคโนโลยีที่ทาง Nissan terra มีให้ซะหน่อย นั้นก็คือ Cruise Control หรือระบบควบคุมความเร็วคงที่ ยิ่งทำงานคู่กับ Lane Departuer Waening ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน เมื่อไหร่ที่รถออกนอกเลนระบบจะเตือนด้วยเสียงและแสดงสัญญานไฟที่หน้าปัดเรื่อนไมล์ โดยระบบนี้จะไม่หน่วงพวงมาลัยกลับเข้าเลนและจะทำงานที่ระดับความเร็วมากกว่า 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเหมาะแก่การขับรถระยะทางไกลมากๆ
เมื่อเดินทางใกล้ถึงจุดหมายหมอกเริ่มปกคลุมทัศนียภาพ เส้นทางเริ่มโหดขึ้นเรื่อยๆ ถนนเป็นเลนสวน ช่องเขาแคบชัน โค้งต่อเนื่องสลับไปมา ตอนแรกก็แอบกังวนใจว่าเจ้า Nissan terra ที่น้ำหนักรถเปล่า 2,118 กิโลกรัม บวกกับผู้โดยสารอีก 5 คน พร้อมสัมภาระอีกเป็นร้อยกิโล จะเป็นปัญหาในการขับรถขึ้นเขาครั้งนี้ไหม ขอตอบตรงนี้เลยครับว่า ไม่ครับ! เพราะเจ้า Nissan terra มากับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ แถวเรียง DOHC16 วาล์ว เทอร์โบคู่แบบแปรพัน ขนาด 2.3 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุดถึง 190 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิด 450 นิวตั้นเมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบต่อนาที ประกบเข้ากับเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดพร้อมโหมดแมนนวล ต้องบอกเลยว่าครับกำลังเหลือเฟือจริงๆ หลังจากที่ลัดเลาะเชิงเขาจนมาถึงจุดหมายแรกที่เราจะพักกันในคืนนี้ นั้นก็คือ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ดอยเสมอดาว ซึ่งมีค่าเข้าอุทยาน ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็ก 10 บาท ค่ารถยนต์ 30 บาท รถจักรยานต์ 20 บาท และค่าเกงเต็นท์ 30 บาทต่อคน หรือถ้าใครไม่มีเต็นท์ก็สามารถมาเช่าเต็นท์ของอุทยานก็ได้ สำหรับใครที่อยากจะทำอาหารทานเอง ทางอุทยานก็มีสถานที่ประกอบอาหารแยกไว้ให้เรียบร้อย เพราะจะไม่สามารถประกอบอาหารบริเวณเต็นท์ได้ และที่สำคัญห้ามนำเครื่องดืมแอลกอฮอล์เข้ามาในพื้นที่ด้วยนะครับ
ดอยเสมอดาว เป็นพื้นที่ที่มีลานกว้างโค้งไปตามสันเขาเหมาะสำหรับการกางเต็นส์พักผ่อนชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก นอนดูดาวยามค้ำคืน และยังสามารถชมทะเลหมอกในยามเช้าได้อีกด้วยและใกล้ๆ กันยังมีผาหัวสิงห์ เป็นหน้าผามีรูปร่างหมือนสิงโตนอนหมอบหันหน้าไปทางทิศตะวันออกสามารถมองเห็นทิวทัศน์ ได้ 360 องศา ถ้าใครจะมาท่องเที่ยวที่นี้แนะควรนำเสื้อกันหนาวติดมาด้วยเพราะตกดึกอากาศค่อนข้างหนาว หรือว่าใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถโทรสอบถามได้ที่ อุทยานแห่งชาติศรีน่านเบอร์ 09 3242 2914, 0 5473 1714 และเฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติศรีน่าน จังหวัดน่าน – Sri Nan National Park ได้เลยนะครับ
ตื่นเช้าวันใหม่มาสูดออกซิเจนให้เต็มปอดแล้วออกเดินทางกันต่อเลย โดยมีจุดหมายปลายทางที่ หมู่บ้านสะปัน อ.บ่อเกลือ โดยครั้งนี้เราเลือกใช้ถนนหมาย 1169 ผ่าน อำเภอสันติสุข เข้าสู่ถนนหมาย 1081 ซึ่งเป็นถนนที่สวยงามมาก สองข้างทางเต็มไปด้วยวิวทิวเขาสีเขียวขจี นอกจากวิวทิวเขาที่สวยแล้ว ยังมีจุดชมวิวที่ใครมาน่านก็พลาดไม่ได้ นั่นก็คือ ถนนลอยฟ้าหมายเลข 3 เส้นทางที่คดโค้งไปมาต่อเนื่องกันเป็นรูปหมายเลข 3 แม้ว่าสภาพอากาศจะไม่เป็นใจแค่ไหน แต่ก็ไม่ทำให้เป็นอุปสรรค์ต่อการที่ใครๆ จะแวะลงมาถ่ายรูปที่นี่ได้เลย
เปียกปอนกันสักหน่อย หลังจากแวะลงไปถ่ายรูปเช็คอินกันมาเป็นที่เรียบร้อย ก็ออกเดินทางกันต่อเลยด้วยเส้นทางที่ยังคดโค้งไม่หยุด และด้วยที่ผมเป็นคนชอบขับรถเล่นโค้งจึงถือโอกาสทดสอบช่วงล้างของเจ้า Nissan terra ไปในตัว ช่วงล้างของเจ้า Nissan terra ด้านหน้าเป็น อิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็น แบบ 5 ลิ้งค์คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง จนเพื่อนถึงกับต้องเอ่ยปากมาว่า “ขับเข้าโค้งแบบนี้ยังเอาอยู่ถือว่าดีจริงๆ” และแล้วเราก็เดินทางมาถึงกันเป็นที่เรียบร้อยกับหมู่บ้านสะปัน โดยหมู่บ้านสะปัน ตั้งอยู่ในอำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ห่างจากบ่อเกลือภูเขาประมาณ 9 กิโลเมตร เป็นชุมชนเล็กๆ แสนสงบ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของขุนเขา มีลำธารไหลผ่าน และในช่วงหน้าฝน ฤดูทำนา ยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ของทุ่งนาข้าวอันเขียวขจีได้อีกด้วย หากใครยังไม่เคยไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ นี่แหละสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยชัดๆ
เรียกได้ว่าหากแวะมาเที่ยวบ่อเกลือภูเขา ขับรถเลยไปอีกเพียงไม่กี่นาทีก็จะถึงหมู่บ้านสะปัน เหมาะมากสำหรับการมาพักผ่อน มีโฮมสเตย์และจุดกางเต็นท์อยู่ไม่น้อย และหนึ่งในนั้นคือ ลานกางเต็นท์ หยุดเวลา ณ สะปัน อยู่บริเวณหน้าวัดสะปัน และที่นี่เองที่เราจะกางเต็นท์กันเป็นคืนที่สอง สำหรับค่าจ่ายที่นี่ฟรีครับ แต่ทางวัดจะมีตู้บริจาคปัจจัยเพื่อเป็นค่าบำรุงวัด รวมถึงค่าน้ำค่าไฟตั้งอยู่หน้าโบสถ์ ใครไคร่จะบริจาคเท่าไหร่ก็ตามกำลังศรัทธาเลยครับ แต่สำหรับผมแค่วิวก็เกินค่ามากแล้ว
นอกจากนี้ใครที่ขี้ร้อน อยากจะแช่น้ำเย็นๆ ก็มีน้ำตกสะปันที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ใครที่เคยดู MV เพลงเศร้า คงคุ้นตากันดี ที่ตอนนี้มียอดวิวในยูทูปทะลุ 87 ล้านวิวไปแล้ว นั้นก็คือ MV เพลง ปล่อย ของ พี่หนุ่ม กะลา ที่ยังอุตส่าห์ยกกองมาถ่ายทำกันถึงน้ำตกสะปัน ท่ามกลางธรรมชาติฟินสุดๆ กันมาแล้ว
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว รถที่เราใช้เดินทางในครั้งนี้ก็เป็น 4WD งั้นขอหาสถานที่ใช้โหมดขับเคลื่อน 4 ล้อหน่อยละกัน ผมเลยสอบถามชาวบ้านระแวกใกล้เคียง ก็ได้ข้อมูลมาว่ามีหมู่บ้านแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนเขาสูงชัน ระยะทางห่างออกไปประมาณ 10 กิโลจากพื้นราบ มีชื่อว่า หมู่บ้านห้วยโทน ซึ่งการเดินทางต้องใช้รถ 4WD เท่านั้นถึงจะขึ้นไปได้เพราะเส้นทางค่อนข้างลื่นและชันมาก แหม่มันช่างท้าทายและเข้ากับโจทย์ที่เราต้องการจะลุยกันพอดี ฉะนั้น อย่าช้า ปลุกเพื่อนอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ไปลุยกันเลย
หมู่บ้านห้วยโทน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขา ต.ดงพญา อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบ โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ ภูเขาสูงมากมาย และดำรงชีวิตด้วยความเรียบง่าย พอเพียง พึ่งพาอาศัยธรรมชาติ ในส่วนเส้นทางนั้นไม่แนะนำให้รถขับเคลื่อนสองล้อขึ้นมาเพราะถนนเป็นทางลูกรังค่อนข้างลื่น บางช่วงเป็นเนินสลับ มีทางคอนกรีตบ้างเล็กน้อย ซึ่งโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ ของเจ้า Nissan terra ทำได้สะดวกและเปลี่ยนได้ทันใจเพราะการเปลี่ยนโหมดขับเคลื่อน 2H เป็น 4H ทำได้ง่ายดายเพียงใช้แค่มือหมุนปุ่มโดยไม่ต้องหยุดรถแบบ Shift- On-The-Fly เมื่อไตร่ขึ้นมาถึงบ้านห้วยโทนต้องบอกเลยว่า ทุกคนในทริปต่าง ร้องว้าว! นี่มันแหล่งโอโซนชั้นเยี่ยมของเมืองไทยชัดๆ เพราะอากาศดีมาก ลมพัดเย็นสบายอยู่ตลอดเวลาหรือจะเรียกว่าหนาวก็ยังได้ขนาดเป็นตอนกลางวัน ส่วนวิวไม่ต้องพูดถึง ร้อยล้านนี่ยังว่าน้อยไป เพราะรอบๆ ตัว 360 องศา นั้นเต็มไปด้วยยอดเขาสลับไปมาเป็นสิบๆ ลูก คุ้มค่าแก่การเดินทางจริงๆ แอบเสียดายเลยที่ไม่มีเวลาพอจะกางเต็นท์ที่นี่ต่ออีกสักคืน
หลังจากดื่มด่ำจากธรรมชาติบนบ้านห้วยโทนเต็มอิ่มก็หมดเวลาของออฟโรดแล้ว เพราะคืนนี้เรามีจุดมุ่งหมายไปกางเต็นท์ค้างแรมกันที่ ลานดูเดือน ณ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา โดยระหว่างทางต้องผ่านจุดชมวิว 1715 ก็อย่าลืมลงไปถ่ายกับเช็คอินกันด้วยนะ เพราะวิวก็สวยไม่เบาเช่นกัน
สำหรับ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดน่าน โดยมีจุดเด่นทางธรรมชาติ ที่น่าสนใจคือ ดอกชมพูภูคาซึ่งเป็นพันธ์ไม้หายากและมีที่แห่งนี้ที่เดียวในประเทศไทย ต้นเต่าร้างยักษ์ ป่าดึกดำบรรพ์ น้ำตกภูฟ้า พิชิตยอดดอยภูแว ชมถ้ำยอดวิมาน และถ้ำผาฆ้อง ซึ่งถ้าใครกำลังหาที่พักโฮมสเตย์หรือจุดกางเต็นท์หนาวๆ แนะนำที่นี้เลยหนาวสะใจแน่ๆ โดยมีอัตราค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท สำหรับใครที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 082 194 1349
ตื่นมาในเช้าวันที่ 4 ณ ลานดูเดือน ที่เมื่อคืนค่อนข้างคึกคักไปด้วยนักแคมป์ปิ้ง พอเริ่มสายทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันออกเดินทางไปยังจุดหมายที่ต่างกัน ส่วนพวกเรานั้นก็มุ่งหน้ากันต่อไปยังอำเภอปัว หลังจากกางๆ เก็บๆ เต้นท์กันมาหลายคืน คืนสุดท้ายนี้ผมเลยพาแก๊งมานอนเตียงนุ่มๆ ที่ เพลินใจ โฮมสเตย์ ในอำเภอปัว และไม่ไกลจากที่พัก ห่างออกไปประมาณ 8 กิโล ก็มีสถานที่ท่องเที่ยว วังน้ำปัว เป็นร้านอาหารและมีที่พักติดลำธารน้ำไหล สามารถกระโดดลงไปเล่นน้ำได้อย่างสุดเหวี่ยง ทางสถานที่มีห่วงยางและเสื้อชูชีพให้พร้อมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เพียงแค่สั่งอาหารหรือเครื่องดื่มก็เอาตัวลงไปจุ่มในน้ำได้เลย ถ้าใครเคยไปคลองมะเดื่อ จังหวัดนครนายก บรรยากาศจะใกล้เคียงกันเลยล่ะ จบทริปได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากเล่นน้ำกันจนตัวเปื่อย แถมยังได้แผลและรอยช้ำกลับบ้านกันถ้วนหน้า และนี่คือสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายก่อนที่รุ่งเช้าเราจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ (เบอร์ติดต่อสำหรับ Pernjai เพลินใจโฮมสเตย์ 086-198-9235 เจ้าของบริการดีสุดๆ เรียกแทนตัวเองว่าแม่ทุกคำ บริการเป็นกันเองมาก)
สรุปการเดินทางครั้งนี้ 4 คืน 5 วัน จังหวัดน่านเป็นจังหวัดที่น่าท่องเที่ยวมากๆ แห่งหนึ่งในประเทศไทยและยังสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปีทุกฤดู แต่ละฤดูก็จะมีบรรยากาศแตกต่างกันออกไปในช่วงที่เรามานั้นเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวจะได้สัมผัสอากาศเย็นๆ ภูเขาสีเขียวๆ ที่ให้ความรู้สึกสบายตาทุกครั้งเวลามองและควรวางแผนดีๆ ในการเลือกจุดท่องเที่ยวเพราะจังหวัดน่านมีแหล่งท่องเที่ยวเยอะแยะเลยทีเดียว ควรวางแผนในการเดินทางให้ดีจะได้ไม่เสียเวลา ในส่วนของลักษณะของถนนการเดินทางเป็นโค้งซะส่วนใหญ่ควรเลือกรถให้เหมาะกับการเดินทางเพราะรถที่สมรรถนะดีจะช่วยให้การเดินทางในการท่องเที่ยวนั้นสนุกมากขึ้นอย่างทริปนี้เราใช้เป็น Nissan terra เนื่องจากเรามีสมาชิกเดินทางด้วยกันถึง 5 คนรวมทั้งสัมภาระอีกมายรถกลุ่มประเภท PPV คงตอบโจทท์การเดินทางครั้งนี้ได้ดีที่สุดในทริปนี้ อีกทั้งเจ้า Nissan terra ยังมีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกให้อีกมายมายไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิดล็อครถแบบ ระบบ Keyless ระบบเปิดฝาท้ายแบบ Kick Activated sensor กล้องมองหลังแบบรอบทิศทาง ระบบ Hill Start Assist เทคโนโลยีช่วยออกตัวขณะอยู่บยทางลาดชัน Hill descent control เทคโนโลยีความคลุมความเร็วขณะขับลงทางลาดชัน เป็นต้น และที่เกริ่นไปตั่งแต่ต้นเรื่องอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันว่าจะอยู่ที่เท่าไหร่ เราใช้เชื้อเพลิงเป็น ดีเซล B10 ซึ่งจะประหยัดว่า ดีเซล B7 ถึง 3 บาท การขับครั้งนี้ บอกเลยว่าเราไม่ย่องยืนพื้นความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นหลัก ในทางตรงในบางช่วงมีไหลไปถึง 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีเล่นเกียร์บ้างในช่วงลงเขาขึ้นเขามีใส่เกียร์ 4H เล็กน้อย ต้องบอกเลยครับว่าทำออกมาได้ดีมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 11 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าผมพอใจมากเพราะอย่าลืมนะครับผู้โดยสาร 5 คนพร้อมสัมภาระรวมน้ำหนักรถก็แล้วเกือบ 3,000 กิโลกรัม ถือว่ารับได้เลยกับ 11 กิโลเมตร/ลิตร ยังไงแล้วการเดินทางไม่ว่าจะใกล้หรือจะไกลล้วนเป็นสิ่งสำคัญหมั่นตรวจสอบรถที่จะใช้ในการเดินทางให้พร้อมอยู่เสมอ สำหรับทริปนี้ขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า ฝากติดตามกันด้วยนะครับว่าเราจะขับรถรุ่นอะไรไปเที่ยวที่ไหนกันอีก ไปแล้วครับ บ๊าย บาย…