fbpx
HAVAL H6 PHEV Ultra (Plug-in Hybrid) 2 พลังขับเคลื่อน.....เดินทางช่วงวันหยุดหายห่วงแน่นอน

HAVAL H6 PHEV Ultra (Plug-in Hybrid) 2 พลังขับเคลื่อน…..เดินทางช่วงวันหยุดหายห่วงแน่นอน

จากตลาดรถยนต์ในปัจจุบันรถยนต์ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% ก็ได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดีในเมืองไทย แม้จะมีแผ่วๆ ลงบ้างในช่วงนี้ แต่ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ ซึ่งก็มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อหลากรุ่น ไม่ว่าจะเป็นค่ายจากฝั่งยุโรป จากฝากอเมริกาที่เริ่มปล่อยรถมาได้สักพักเห็นหนาตาขึ้นบนท้องถนน ร่วมถึงจากจีนเองก็มีอยู่หลายค่าย แต่วันนี้เราจะไม่ได้พูดถึงรถยนต์ EV กันนะครับ เรามาพูดถึงอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจในช่วงเวลาที่รถยนต์ EV เริ่มเต็มถนน นั้นก็คือ GWM HAVAL H6 PHEV รถยนต์ SUV 2 พลังงานขับเคลื่อน ที่สามารถขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน และพลังงานไฟฟ้า เอ่ยขึ้นมาก็น่าสนใจแล้วใช่ไหม มาดูกันดีกว่าทำไมถึงน่าสนใจ

พอดีได้มีโอกาสหยิบยืมเจ้า GWM HAVAL H6 PHEV เดินทางไปท่องเที่ยวที่ เกาะกูด จังหวัดตราด แล้วก็เป็นสัปดาห์ช่วงวันหยุดยาว บอกได้เลยว่าคนเดินทางกันเพียบ รถเต็มถนนกันเลยทีเดียว และด้วยความโชคดีที่หยิบยืม GWM HAVAL H6 PHEV มาใช้เดินทางก็เลยได้ประสบการณ์ที่จะมาเล่าสู่กันฟังครับ ก่อนการเดินทางก็เตรียมรถให้พร้อมทั้งหมดไม่ว่าจะน้ำมันเติมให้เต็ม และไฟชาร์จให้เต็มเปี่ยม ก่อนจะไปเข้าเรื่องการเดินทางเรามาพูดถึงระบบขับของเจ้า GWM HAVAL H6 PHEV กันก่อน ซึ่งใช้ด้วยกันอยู่ 2 ระบบ 

ระบบแรกก็จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว 1.5 ลิตร 1,499 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 75 x 84.9 มิลลิเมตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection พ่วงด้วย Turbocharged ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 5500 – 6000 รอบ/นาที  และแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 230 นิวตันเมตร ที่ 1500 – 4000 รอบ/นาที สามารถรองรับน้ำมัน E20 ได้

และอีกระบบก็จะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำงานร่วมกันกับเครื่องยนต์เบนซิน รีดแรงม้าออกมารวมกันทั้งระบบได้ 326 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุดถึง 530 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านระบบ DHT (Dedicated Hybrid Transmission) พ่วงกับแบตเตอรี่ Lithium Ternary ที่มีขนาดความจุ 34 kWh รองรับการชาร์จไฟฟ้าได้ทั้งกระแสสลับ AC สูงสุด 6 kW และไฟฟ้ากระตรง DC สูงสุด 48 kW ซึ่งระบบไฟฟาวิ่งได้ถึง 201 กิโลเมตร(เป็นการเคลมจากโรงงานนะครับไม่ใช่วิ่งจริง) ระยะเวลาการชาร์จถ้าเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ AC จาก 0-100% ภายใน 6 ชั่วโมง ส่วนไฟฟ้ากระแสตรง DC จาก 0-80% ภายใน 35 นาทีเท่านั้น และมีโหมดการขับขี่มาให้ทั้งหมด 4+1 รูปแบบ

  • โหมดมาตรฐาน Normal Mode
  • โหมดประหยัด Eco Mode
  • โหมดสปอร์ต Sport Mode
  • โหมดถนนลื่น Wet Mode
  • ที่บวก 1 ก็คือโหมดการขับขี่ไฟฟ้าล้วน EV Mode

มาเข้าเรื่องการเดินทางกันดีกว่าซึ่งการเดินทางก็อย่างที่บอกว่าใกล้วันหยุดยาวรถก็จะหนาแน่นกันพอสมควร มีนัดขึ้นเรือไว้ตอน 10 โมงเช้าก็ต้องคำนวณเวลาให้ดี ซึ่งระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงท่าเรือคอรัล บีช รีสอร์ท ประมาณ 370 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางก็อยู่ประมาณ 5 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยและไม่ต้องเร่งรีบ เราก็ออกเดินทางกันประมาณตอนตี 3 ครึ่ง โดยช่วงตั้งแต่ออกจากบ้านจนเข้ามอเตอร์เวย์ก็ใช้พลังงานไฟฟ้าตลอด จนระหว่างทางมอเตอร์เวย์ไฟก็ใกล้จะหมดแล้ว ได้ระยะทางอยู่ประมาณ 120 กิโลเมตร อ้าว!! ทำไมวิ่งได้เท่านี้หละ ตอบเลยขับตามการใช้งานจริงเลยครับ เหยียบบ้างเบาบ้าง ตอนเช้าๆ ขนาดนี้รถยังพอโล่งอยู่ แล้วระบบขับเคลื่อนของ HAVAL H6 PHEV ก็มีการตั้งการเก็บพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ในช่วงเวลาอื่นๆ ที่จำเป็นอยู่ 20% ระบบนี้ผมว่ามันก็ดีนะ คือพอวิ่งจนเหลือ 20% ระบบก็จะตัดไปขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ หรือแม้แต่เราจะชาร์จแบตเตอร์รี่กลับก็สามารถทำได้เช่นกันสมมุติแบตเตอร์รี่เราเหลือ 20% เราสามารถตั้งเพิ่มเป็น 50% เมื่อเราวิ่งไปเรื่อยๆ ตัวเครื่องยนต์ก็จะชาร์จไฟฟ้ากลับไปในแบตเตอร์รี่จนครบตามที่เราตั้งไว้เพื่อจะได้กลับมาใช้ระบบไฟฟ้าเพียวๆ ได้อีกครั้ง แต่อาจใช้เวลาพอสมควร(ก็ต้องกะระยะเวลาดูว่าจะใช้ไฟฟ้าช่วงใน) และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงไปหน่อย 

ขับมาได้สักระยะจะไม่ให้พูดถึงภายในก็คงไม่ได้ ซึ่งภายในของ HAVAL H6 PHEV นั้นก็ดูแปลกตาด้วยโทนสีที่เป็นแบบ Two-Tone สีดำกับสีขาว รวมถึงมีการแทรกสีทองเข้ามาในบางจุดเพื่อเพิ่มความหรูหรา เบาะนั่งเองก็เป็นเบาะไฟฟ้าทั้ง 2 ฝั่ง ด้านคนขับจะปรับได้ 6 ทิศทาง และมี Lumbar Support มาให้ทำให้ในการขับรถยาวๆ ไม่ค่อยปวดหลังเท่าไหร่ ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าก็ปรับได้ 4 ทิศทางเท่านั้น ส่วนในความสุนทรีในการเดินนั้นก็ให้มาดีเลยทีเดียว กับหน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว เชื่อมต่อได้ครบครันทั้ง Apple Carplay และ Android Auto มาพร้อมลำโพง 8 ตำแหน่งพ่วงด้วย Treble Woofer และ DTS มาให้ด้วย แล้วก็การเปิดปิดระบบต่างๆ ของตัวรถก็จะอยู่ที่หน้าจอนี้เกือบทั้งหมด แอบใช้ยากไปหน่อยเพราะ แต่ก็แค่ในตอนแรกๆ พอได้คุ้นชินกับตัวรถก็ไม่ใช่ปัญหา ช่อง USB ไว้เชื่อมต่อหรือชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีให้ทั้งผู้โดยสารด้านหน้าและหลัง รวมถึงมีสำหรับกล้องบันทึกหน้ารถด้วย และระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายก็มีมาให้

พอได้ออกจามอเตอร์เวย์ก็เริ่มหาที่ชาร์จไฟที่เป็น DC ช่วงยังเช้าอยู่น่าจะสักประมาณเกือบๆ 6 โมงเช้า เข้าปั๊มแรกมีคนจอดชาร์จอยู่(ดูแล้วน่าจะชาร์จเต็มแล้ว) แต่คนหายไปไหนไม่รู้ไม่เป็นไร ไปที่ปั๊มต่อไปละกัน ปั๊มนี้หัวชาร์จแบบ DC เยอะอยู่ มาอีกปั๊มปรากฏว่ามีคนจอดรอตามที่จองไว้อยู่ เราก็ลืมว่าปั๊มนี้สามารถจองที่ชาร์จก่อนได้ ก็คิดว่าเช้าขนาดนี้ยังไม่น่าจะยังไม่มีคนมา สุดท้ายมาจบที่ปั๊มที่ 3 มาถึงประมาณเกือบๆ 6 โมงครึ่งว่างพอดีแต่มีเวลาชาร์จครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเพราะมีคนจองต่อคิวอยู่ ในการชาร์จ HAVAL H6 PHEV ที่ขับมาหลังจากไฟเหลือน้อยก็ใช้ระบบ Hybrid มาตลอดมีไฟเหลืออยู่ 10% เหลือวิ่งได้ประมาณ 18 กิโลเมตรทำให้ในเวลาครึ่งชั่วโมงได้พลังงานกลับมาราว 60% รวมที่มีอยู่ก็ได้ประมาณ 70% วิ่งได้เพิ่มเป็น 140 กิโลเมตร ใช้เงินไปก็ 96 บาท เราก็ออกเดินทางต่อด้วยระบบไฟฟ้าอย่างเดียวเพราะเหลือระยะทางไม่ไกลก็จะถึงท่าเรือของทางรีสอร์ทแล้ว

มาถึงท่าเรือก็ใช้พลังงานไฟฟ้าไปกันพอสมควรแวะซื้อของนู้นนี้นั้นตลอดทางกว่าจะมาถึงได้ ทำให้พลังงานไฟฟ้าลดลงไปประมาณ 30% ได้ระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร ก็ถือว่าไม่มากไม่น้อยมี +/- 10% จากที่โรงงานเคลมไว้ เดี๋ยวมีมาต่อในการเดินทางขากลับแล้วก็สรุปการใช้ HAVAL H6 PHEV ในการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ ตอนนี้เรามาพูดถึง เกาะกูด ที่จังหวัด ตราด กันก่อนดีกว่าว่าเป็นยังไงบ้าง

เกาะกูดมีความใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเกาะช้างในจังหวัดตราด และเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมของคนที่ชอบทะเล เพราะด้วยความใสของน้ำทะเลที่เป็นสีเทอร์ควอยซ์ รวมถึงธรรมชาติของท้องทะเลที่ยังสมบูรณ์ ถ้ายิ่งได้เดินทางมาท่องเที่ยวช่วงเดือนพฤศจิกายน – เดือนกุมภาพันธ์ อากาศก็จะดี น้ำทะเลใสสวยงาม แต่ถ้าเป็นช่วงเดือนมีนาคม – ต้นเดือนพฤษภาคม ยิ่งสวยขึ้นไปอีกและยังเป็นช่วงพีคของเกาะกูด ที่จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวกันมากมาย ต้องบอกเลยว่าได้มาแล้วจะหลงรักธรรมชาติ และหาดทรายที่สวยงามของทะเล เกาะกูด กันเลยทีเดียว บนเกาะกูดยังมีชายหาดสวยๆ มากมายเช่น หาดอ่าวพร้าว, หาดบางเบ้า, หาดคลองเจ้า, หาดคลองหิน, หาดยายกี๋, อ่าวง่ามไข่, อ่าวสลัด, อ่าวตะเภา และยังมีน้ำตกอยู่ด้วยอย่างเช่น น้ำตกคลองเจ้า, น้ำตกห้วงน้ำเขียว เป็นต้น ส่วนในการเดินทางไปยังเกาะกูดนั้นก็มีหลายทางเลือก

  1. เดินทางด้วยรถยนต์ก็ใช้เวลาประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง แวะระหว่างทางได้แต่ก็ต้องเผื่อเวลาให้ดีเพราะช่วงเวลาเรือออกมีไม่กี่เที่ยวเท่านั้น
  2. เดินทางด้วยรถโดยสารก็จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ถึงสถานีขนส่งจังหวัดตราด ต่อรถไปที่ท่าเรืออีกครึ่งชั่วโมง
  3. เดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารก็จะสบายหน่อยใช้เวลาอยู่ 1 ชั่วโมงเท่านั้นแต่ก็ต้องต่อรถไปที่ท่าเรืออีก 45 นาที

ส่วนมากก็จะไปขึ้นเรือกันที่ท่าเรือแหลมศอก ก็แล้วแต่ที่พักด้วยเพราะบางที่พักมีสปีดโบ๊ตของตัวเอง อย่างที่เราไปจองที่พักของ เกาะกูดอ่าวพร้าวบีชรีสอร์ท ไว้ก็ไปขึ้นที่ท่าเรือคอรัล บีช รีสอร์ทไม่ต้องไปวุ่นวายกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ แต่วันที่ไปตอนเช้าน้ำลงพอดีเรือเข้ามารับไม่ได้ก็เลยต้องไปขึ้นที่ท่าเรือแหลมศอกเช่นกัน ราคาและเวลาในการนั่งเรือไปเกาะกูดก็แตกต่างกัน เรือโดยสารปกติราคารจะอยู่ที่ 350 – 600 บาท ใช้เวลา 1.15 – 1.30 ชั่วโมง ส่วนถ้าเป็นสปีดโบ๊ตราคาก็อยู่ที่ 600 บาท ใชเวลา 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง มาถึงที่อ่าวสลัดเกาะกูด(ขากลับก็ต้องมาที่ท่าเรือนี้เพื่อเดินทางกลับ) ก็ต้องมาต่อรถ 2 แถวจะขึ้นคันไหนก็ต้องเช็คดูว่าไปรีสอร์ทที่จองไว้รึเปล่า เรื่องเวลาถึงฝั่งก็แล้วแต่สภาพอากาศในวันนั้นด้วย ลืมอีกอย่างใครที่ขับรถไปเองก็จะมีเลียค่าจอดวันอีกละ 50 บาท/คัน บางที่จะ 50 บาท/คืน ทั้งหมดทั้งมวลก็อยู่ที่ Package ของที่พักที่จองมาด้วยส่วนมากจะรวมให้เกือบหมดทุกอย่างไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มอีก

ส่วนเรือที่เราขึ้นก็เป็นเรือสปีดโบ๊ตของรีสอร์ทก็จะไปลงที่หน้ารีสอร์ทเลย มันสบายดีแท้จริงๆ มาถึงแรกเห็นก็จะเป็นท้องน้ำที่ใสมากๆ รวมถึงท่าเรือที่เป็นสะพานไม้ยื่นออกมาสวยงาม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรีสอร์นี้เลย เข้ามาภายในรีสอร์ทร่มรื่นมาก หาดทรายขาวละเอียดมาก ผมจองที่พักเป็น Package 3 วัน 2 คืน อาหาร 5 มื้อ มีพาไปน้ำตกคลองเจ้า และพาไปดำน้ำให้ด้วย หลักของการมาเที่ยวเกาะกูดของหลายๆ คนก็คงอยากมาพักผ่อนชาร์จแบตให้กับตัวเอง เพราะในการจะเดินทางไปไหนภายในเกาะนั้นจริงๆ มันก็เหมือนจะสะดวก ซึ่งมันก็มี 2 เลือก

  1. เดินทางด้วยรถสองแถวก็จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 400 – 1.000 บาท แล้วแต่ระยะทางที่จะเดินทางไปแต่ละที่ (รวมกลับมาที่พักแล้ว)
  2. เดินทางด้วยการเช่ารถจักยานยนต์ 250 – 350 บาท ส่วนมากที่พักจะมีให้เช่าอยู่แล้ว

แต่ถ้าใครจองเป็น Package อยู่แล้วทางรีสอร์ทก็จะมีพาออกไปตามจุดที่เขากำหนดไว้ ถ้าไม่มีก็สามารถเลือกการเดินทางเพื่อไปท่องเที่ยวเองก็ได้ ส่วนอาหารบาง Package ก็จะมีให้ครบทุกมื้อจนวันกลับ หรือถ้ามีให้ไม่ครบทุกมื้อบนเกาะก็จะมีร้านอาหารให้เลือกสรรอยู่พอสมควรแต่ก็ต้องเดินทางไปเองเช่นกัน 

ในส่วนของ Package ที่เราจองไว้ก็มีพาไปเที่ยวที่น้ำตกคลองเจ้า น้ำตกคลองเจ้าเป็นน้ำตกขนาดกลาง ความสูงโดยรวม 10 เมตร มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นล่างจะมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่และน้ำค่อนข้างใสเย็นสบาย เหมาะกัยการเล่นน้ำคลายร้อนมากๆ แต่น่าเสียดายเป็นช่วงแล้งของบนเกาะทำให้มีน้ำน้อยมาก เลยอดไม่ได้เห็นความสวยงามของน้ำตกเลย ทางรีสอร์ทก็ได้เปลี่ยนพาไปคาเฟ่ยอดฮิตร้านนึงที่อยู่ริมน้ำคลองเจ้าร้าน Mangrove ซึ่งอยู่ภายใน Mangrove Bungalow กับบรรยากาศที่มองเห็นสันโค้งของคลองเจ้า และแนวชายป่าโกงกาง ที่นี่นอกจากมีอาหารเครื่องดื่มเย็นๆ จำหน่ายแล้วก็ยังมีกิจกรรมทางน้ำพายเรือคายัคชมคลองเจ้า และป่าโกงกางให้บริการด้วย

ไฮไลท์ของการมาเที่ยวที่เกาะกูดก็น่าจะเป็นกิจกรรมดำน้ำชมความใส ความสวยงายที่ยังสมบูรณ์ใต้ท้องทะเลไทย และจุดดำน้ำที่นิยมไปกันก็จะเป็นที่เกาะยักษ์เล็ก กับเกาะยักษ์ใหญ่ อุทยานแห่งชาติเกาะรัง จุดดำน้ำที่นี่จะเป็นแบบดำน้ำตื้น snorkeling และมีความสมบูรณ์ใต้ท้องทะเลอย่างมาก ทั้งปะการัง ฝูงปลาต่างๆ มากมาย แม้ท้องทะเลจะสวยงามแต่ก็ต้องระวังผู้คนที่มาท่องเที่ยว รวมถึงหอยเม่นที่พบได้ทุกจุดกันเลยทีเดียว ใครได้ไปท่องเที่ยวก็ระวังกันหน่อยนะครับ

ท่องเที่ยวชาร์จแบตกันเต็มที่ก็ถึงเวลาเดินทางกลับแล้ว ยังอยากอยู่ต่อเลยวันเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ขากลับเราก็ขึ้นเรือกลับมาที่ท่าเรือแหลมศอกเช่นเดิม เรามาถึงฝั่งประมาณ 10 โมงครึ่ง เก็บสัมภาระขึ้นรถพร้อมออกเดินทางกลับ ก่อนเดินทางกลับก็ว่าจะแวะชาร์จไฟสักหน่อย โดยไม่ได้จองไว้ก่อนเพราะเราเดินทางกลับก่อนจะหมดวันหยุดยาว ก็คิดว่าจะเหมือนขามาที่สามารถแวะชาร์จโดยไม่ต้องจอง สรุปทุกสถานีชาร์จตั้งแต่ออกจากท่าเรือมีคนนำรถมาชาร์จกันเต็มไปหมดตลอดเส้นทาง เราก็เลยลองจองดูยิ่งหนักไปใหญ่คิวยาวไปถึงช่วงบ่ายๆ เย็นๆ เลย ตอนนี้ยังไม่เที่ยงเลยถ้ารอได้นอนค้างอีกคืนแน่ๆ โอ้!!! ความนิยมรถไฟฟ้าในประเทศเติบโตสูงจริงๆ แต่ที่ชาร์จรองรับไม่พอเอาซะเลย โชคดีที่พาเจ้า GWM HAVAL H6 PHEV มาด้วยไม่ต้องคิดมากมีตรงไหนว่างค่อยเติม วิ่งเป็น Hybrid กลับไปก่อน อย่างน้อยก็ประหยัดเวลาไนการเดินทางได้มากอยู่ไม่ต้องมารอคิว ถึงแม้จะไม่ได้ความประหยัดจากไฟฟ้า 100% แต่ก็ยังมีการขับเคลื่อนด้วยระบบ Hybrid มาช่วยในความประหยัดได้พอสมควร

สรุปแล้วทริปนี้เดินทางไปกลับด้วยเจ้า HAVAL H6 PHEV กว่า 820 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองในระบบ Hybrid จะอยู่ที่ประมาณ 14-15 กิโลเมตร/ลิตร ถ้าเป็นไฟฟ้าก็จะอยู่ที่ประมาณ 17-18 kWh/100 กิโลเมตร วิ่งด้วยไฟฟ้า 100% เคลมมาจากโรงงานวิ่งได้ 201 กิโลเมตร มาใช้จริงจะวิ่งได้อยู่ประมาณ 160-180 กิโลเมตร อันนี้ก็แล้วแต่การขับขี่ของแต่ละคน แม้อัตราสิ้นเปลื้องจะไม่ได้โดดเด่นมากเท่าไหร่ แต่ก็ช่วยประหยัดเวลาได้มากเลยทีเดียวในการเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัด รวมถึงระบบช่วยเหลือต่างๆ ก็มีให้ครบ ความกว้างขวางทำให้สะดวกสบายในการเดินทาง พื้นที่ใช้สอยก็ขนสัมภาระได้เยอะพอดู HAVAL H6 PHEV ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกทีเป็นระบบขับเคลื่อน 2 ระบบ Hybrid และไฟฟ้า 100% กับยุคทองของรถไฟฟ้าที่ต้องมารอคิวกันชาร์จไฟกัน ใครที่สนใจก็ลองไปทดลองขับ ไปสัมผัสกันดูได้ที่โชว์รูม GWM ทั่วประเทศได้เลยครับ HAVAL H6 PHEV Ultra (Plug-in Hybrid) สนนราคาอยู่ที่ 1,699,000 บาท

บทความที่น่าสนใจ

ซัดเต็มแม็กซ์ Haval Jolion กรุงเทพ-เลย กินน้ำมันเท่าไหร่ ?

Nopkung

รีวิว Haval H6 PHEV (Plug in Hybrid) แรง ล้ำ โหมดไฟฟ้าใช้ได้จริง แต่ช่วงล่างยังต้องปรับ!!

Nopkung

ลองขับ!! มิตซูบิชิ Xpander รถครอบครัวขนานแท้ ถ้าราคาดี ไร้คู่แข่งแน่

idiot

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy