นิสสัน มอเตอร์ เผยโฉม Nissan Hyper Urban Concept ต้นแบบครอสโอเวอร์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน ก่อนเปิดตัวจริงในงาน Japan Mobility Show ที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้
นิสสัน จะเริ่มทยอยเผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบทีละรุ่น ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ก่อนถึงรอบสื่อมวลชนในวันที่ 25 ตุลาคม โดยมีความตั้งใจของการใช้คำว่า ‘Hyper’ เพื่อนำเสนอถึงความตื่นเต้นเร้าใจที่มากยิ่งกว่า
แต่ละแนวคิดจะถูกแสดงแทนด้วย ตัวละครในแบบอนิเมะ และได้รับการออกแบบด้วยคุณสมบัติที่ปรับแต่งตามความต้องการซึ่งเพิ่มมูลค่าให้กับไลฟ์สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ และให้แรงบันดาลใจที่หลากหลาย แนวคิดนี้ช่วยให้ลูกค้าสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกโดยไม่กระทบต่อวิถีชีวิตหรือความสนุกสนานของการใช้รถยนต์
สไตล์ของ Hyper Urban Concept มีความโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาม โฉบเฉี่ยว และทันสมัย เพื่อเติมเต็มรสนิยมอันซับซ้อนของผู้ใช้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง และชานเมืองที่ต่างให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
ตัวถังภายนอกรถสีเหลืองมะนาวจะเปลี่ยนเฉดสีไปได้มากมายขึ้นอยู่กับมุมที่แสงที่มาตกกระทบ บานประตูดีไซน์โฉบเฉี่ยวด้วยรูปทรงของกรรไกร ทั้งด้านหน้า และด้านหลังให้ความรู้สึกถึงความโปร่งโล่ง และมีเอกลักษณ์ รูปทรงที่สปอร์ตให้สมรรถนะด้านแอโรไดนามิกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น มาพร้อมยางหน้ากว้างที่ช่วยเสริมลุคสปอร์ต และการเคลื่อนที่ที่สมบุกสมบันควบคู่กับความสวยงามตามสมัยนิยม
ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบให้กลมกลืนกับพื้นที่อยู่อาศัยในเมือง ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘กล้องสลับลายรูปทรงสามเหลี่ยม’ แผงหน้าปัด และจอแสดงผลสามารถปรับแต่งได้ตามอารมณ์ของเจ้าของรถ นอกจากนี้เบาะนั่งคู่หน้าสามารถพับไปเชื่อมต่อกับเบาะหลังเพื่อเปลี่ยนเป็นโซฟาขนาดย่อมๆ สร้างพื้นที่ส่วนตัวเพื่อความผ่อนคลายสูงสุด เมื่อต้องการอยู่ห่างจากความวุ่นวายในแต่ละวัน นิสสัน ไฮเปอร์ เออร์เบิน ก็สามารถผสมผสานการพักผ่อน และประโยชน์ใช้สอยเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว หากนำไปจอดไว้ภายในอพาร์ทเมนต์ หรือบังกะโล พื้นที่ภายในรถสามารถกลายเป็นพื้นที่ใช้สอยเพื่อการผ่อนคลายได้ทันที
Hyper Urban Concept จะถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์ ด้วยระบบการถ่ายเทพลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์สู่ที่พักอาศัยหรือ Vehicle to Home (V2H) ซึ่งส่งผลให้ประหยัดการใช้พลังงานได้อย่างมาก รวมถึงสร้างความยั่งยืนในโครงข่ายไฟฟ้า โดยระบบการถ่ายเทพลังงานระหว่างยานยนต์ไฟฟ้ากับระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Vehicle-to-Grid หรือ V2G) เจ้าของสามารถส่งต่อพลังงานไฟฟ้าส่วนเกินให้กับโครงข่ายฯ เพื่อสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นของตน และสร้างรายได้ในกระบวนการนี้ ระบบจัดการการชาร์จอัจฉริยะจะประกอบด้วย AI ที่สามารถชาร์จยานพาหนะ และอาคารพลังงานได้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้มีการจัดการพลังงานมีประสิทธิภาพ
แนวคิดนี้ยังนำความยั่งยืนมาประยุกต์ใช้กับอายุการใช้งานของยานพาหนะได้ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ตระหนักถึงคุณค่าระยะยาวของทุกสิ่งที่พวกเขาเป็นเจ้าของ ด้วยการอัปเดตฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์เป็นประจำจะมอบประสบการณ์ของการเป็นเจ้าของที่ทันสมัยอยู่เสมอ เช่น ภายในห้องโดยสารสามารถรีเฟรชได้ด้วยแผงหน้าปัดแบบใหม่ที่สะท้อนถึงเทคโนโลยีล่าสุดและเทรนด์การติดต่อกับผู้ใช้ด้วยกราฟิกต่าง ๆ