ถ้าถามว่า “น้ำมันหล่อลื่น” จำเป็นกับรถยนต์อย่างไร ให้นึกถึง “เลือด” ในร่างกายของคนเรา ที่ทำหน้าที่ไหลเวียนสารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นเลือดจึงเป็นกลไกที่สำคัญในร่างกายของเรา น้ำมันหล่อลื่นรถยนต์ก็เช่นเดียวกัน เปรียบเสมือนเลือดที่ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ ในร่างกายคนเราหากเลือดมีปัญหาก็อาจส่งผลถึงสุขภาพ รถยนต์หากใช้น้ำมันหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานเช่นกัน
หากถามว่าทำไม ต้องยกตัวอย่างเลือดในร่างกาย กับ น้ำมันหล่อลื่นในเครื่องยนต์มาเปรียบเทียบกัน คำตอบก็คือ เราอยากให้ทุกท่านมองว่าน้ำมันหล่อลื่นเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว และเข้าใจได้ไม่ยากอย่างที่คิด และหากเรารู้จักเลือกน้ำมันหล่อลื่นที่เหมาะสมกับรถยนต์ของเราแล้ว ย่อมจะยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ไปได้อีกนานเท่านาน เพราะน้ำมันหล่อลื่นนั้นมีหลากหลายประเภทให้เราได้เลือกสรรให้เหมาะกับรถที่เรารักมากที่สุด
โดยประเภทของน้ำมันหล่อลื่นตามท้องตลาด จะแบ่งออกมาได้เป็น 3 ประเภท ซึ่งมีคุณสมบัติและจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
- น้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ 100 % (Fully synthetic) มีจุดเด่นในการช่วยเสริมสมรรถนะเครื่องยนต์ ทนความร้อนได้ดี อีกทั้งยังระเหยช้า ใช้งานได้นานสุดในแง่ของระยะการเปลี่ยนถ่าย ในระยะประมาณ 10,000 – 15,000 กม.
- น้ำมันหล่อลื่นกึ่งสังเคราะห์ (Semi synthetic) มีคุณสมบัติคล้ายกับน้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ 100 % แต่เป็นรองนิดหน่อยเนื่องจากเป็นเพียงกึ่งสังเคราะห์ สำหรับระยะการเปลี่ยนถ่ายนั้นถือว่าอยู่ในระยะปานกลาง 7,000 – 10,000 กม.
- น้ำมันหล่อลื่นธรรมดา (Mineral) จุดเด่นคือมีราคาถูก เนื่องจากผลิตจากน้ำมันดิบ เหมาะกับรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมานาน ส่วนมากไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่ทั้งนี้ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นบ่อยกว่าชนิดอื่น ๆ
นอกจากประเภทของน้ำมันหล่อลื่นแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ควรรู้ ที่ดูได้จากข้างขวด อย่างค่าความหนืดที่แบ่งออกเป็น 2 ตัวเลข อย่าง อุณหภูมิต่ำ และ อุณหภูมิสูง
อุณหภูมิต่ำ
โดยตัวเลขแรกที่ขึ้นต้นด้วย W นั้นอธิบายค่าความหนืดน้ำมันในอุณหภูมิต่ำ ซึ่ง W ย่อมาจาก Winter นั้นก็หมายความว่าหากตัวเลขยิ่งต่ำความหนืดของน้ำมันก็จะต่ำตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งในต่างประเทศที่มีอากาศหนาวจะนิยมใช้น้ำมันที่มีความหนืดน้อย เนื่องด้วยสามารถไหลไปหล่อลื่นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ได้ง่ายและเร็วกว่า (เนื่องจากอากาศเย็นยิ่งทำให้น้ำมันมีความหนืดสูง) หรืออธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ได้ว่า ตัวเลขยิ่งน้อย ความหนืดยิ่งน้อย
อุณหภูมิสูง
ส่วนตัวเลขที่สองนั้น ทำหน้าที่อธิบายความหนืดของน้ำมันหล่อลื่นในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานที่อุณหภูมิปกติ ยิ่งตัวเลขสูง น้ำมันก็จะยิ่งมีค่าความหนืดมาก ในประเทศที่ร้อนจัดก็มักจะดูค่าความหนืดที่มากหน่อย เพราะอากาศยิ่งร้อนน้ำมันก็ยิ่งหนืดน้อยลง เพราะหากน้ำมันหล่อลื่นไม่มีความหนืดเลย จะทำให้ประสิทธิภาพในการปกป้องเครื่องยนต์ลดลง ในส่วนนี้จำได้ง่าย ๆ ว่า ตัวเลขยิ่งมาก ความหนืดยิ่งมาก
ทั้งนี้ในประเทศที่มีอากาศไม่ถึงขั้นติดลบ อย่างประเทศไทยเรานั้น ค่าตัวเลขไหนก็สามารถใช้ได้ทั้งหมด แต่ให้ดูความเหมาะสม อย่างไรก็ดีการเลือกค่าความหนืดแนะนำให้ดูที่คู่มือการใช้งานจะดีที่สุด
แล้วคุณสมบัติพื้นฐานอะไรบ้าง ที่น้ำมันหล่อลื่นต้องมี เพราะโดยปกติแล้ว น้ำมันหล่อลื่นทำหน้าที่ เข้าไปเคลือบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติพื้นฐานที่น้ำมันหล่อลื่นต้องมี คือ หล่อลื่นทุกชิ้นส่วน ภายในเครื่องยนต์ เพื่อลดแรงเสียดทาน ป้องกันการสึกหรอ ช่วยระบายความร้อนให้แก่เครื่องยนต์ ชะล้างสิ่งสกปรก ที่เกิดจากการเผาไหม้ ช่วยระบายความร้อนให้แก่เครื่องยนต์
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มีครบหมดแล้ว ในน้ำมันหล่อลื่นเกรดพรีเมี่ยม FURiO (ฟิวริโอ้) ที่ผลิตโดยบางจาก และสิ่งที่พัฒนาเพิ่มเติมขึ้นมา ให้พิเศษกว่าน้ำมันหล่อลื่นทั่วไปคือ Respoplex Technology เทคโนโลยีของสารที่มีโมเลกุลอัจฉริยะ คิดค้นมาเพื่อช่วยในเรื่องของ การปกป้องเครื่องยนต์ จากการสึกหรอ ทนต่อการใช้งานในอุณหภูมิสูงได้ดี และอยู่ในมาตรฐานสูงสุดของ ในระดับสากล ที่เหมาะกับการใช้งานในทุกสภาวะการขับขี่ ที่ได้รับการพิสูจน์จริงแล้วจากการแข่งขัน WORLD ENDURANCE ณ เมืองเลอม็อง ประเทศฝรั่งเศส ที่พาทีมแข่งรถพิชิตความทรหดมาแล้วกว่า 24 ชม.
เหตุผลที่ FURiO ถูกนำไปพิสูจน์ในสนามแข่งนั้น เพราะว่ารถในสนามแข่ง เครื่องยนต์ถูกใช้งานหนักจนเกิดความร้อนและการสึกหรอสูง แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นบนถนนในบ้านเราก็มีความโหดพอ ๆ กับในสนามแข่ง ด้วยอากาศที่ร้อนระอุ ประจวบกับการจราจรที่ติดขัด ทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักต่อเนื่อง เป็นผลให้เครื่องยนต์เกิดความร้อนและการสึกหรอสูงด้วยเช่นในสนามแข่ง เพราะเหตุนี้ จึงมั่นใจได้เลยว่า FURiO คือ “ ขีดสุดเทคโนโลยีการปกป้องจากสนามแข่งสู่รถคุณ” อย่างแท้จริง