fbpx

ชมภาพคันจริง & ทดลองขับ MG 4 EV อัตราเร่งดี วิ่งไกล 425 กม. ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ สเปคแจ่ม !!

ทีมงาน Carvariety ได้มีโอกาสพิเศษในการทดลองขับ MG 4 EV รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดจาก MG ที่มีคิวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ซึ่งตัวรถจะเป็นอย่างไร มีสเปคอะไรที่น่าสนใจ ขับดีหรือไม่ ไปดูกันเลยครับ

MG 4 EV Spec
MG 4 EV

MG 4 EV Spec

สำหรับ MG 4 EV เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง MG ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยตัวรถจะมาในสไตล์ตังถังแบบ Hatchback (5 ประตู) โดยรถคันนี้ถูกสร้างขึ้นบน NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM ซึ่งเป็นแพตฟอร์มใหม่ล่าสุดที่ทาง MG พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถที่ต่ำ ช่วยให้ตัวรถเกาะถนนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ MG 4 EV ยังมีการกระจายน้ำหนัก หน้า-หลังอยู่ที่ 50 : 50 ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับรถสปอร์ตอย่าง Mazda MX-5 และมอเตอร์ไฟฟ้าของรถรุ่นนี้จะถูกวางไว้บริเวณด้านหลัง ซึ่งเท่ากับว่ารถคันนี้เป็น “รถไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลัง” นั่นเอง
 

MG NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM
MG NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM

ระบบช่วงล่างของ MG 4 EV นั้นต้องเรียกได้ว่าจัดเต็ม เพราะช่วงล่างด้านหลังให้มาเป็นแบบ 5-Link ซึ่งเป็นรูปแบบช่วงล่างที่นิยมใช้ในรถสมรรถนะสูงจากยุโรปหลายรุ่น ระบบเบรกจะได้เป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ รวมถึงระบบบังคับเลี้ยวแบบ Dual Pinion ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยางและ “ระบบเบรก” ในรถคันนี้จะเลือกใช้เป็นของ Continental ทั้งหมด


การดีไซน์รอบคันจะเน้นความโฉบเฉี่ยวและความทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นชุดไฟหน้า LED GALAXY TECHNOLOGY MATRIX HEADLIGHT, กระจังหน้าแบบซี่สีดำทรงตั้งที่มีการเล่นลูกเล่นเป็นช่องบริเวณตรงกลาง รวมถึงไฟท้ายแบบเส้นยาวลากจากซ้ายไปขวา และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ สปอยเลอร์หลัง TWIN ARROW WING สุดดุดันและหลังคาสีดำแบบ TWO TONE (มีเฉพาะในรุ่น X ตัวท๊อปเท่านั้น)




ขุมพลัง MG 4 EV จะมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 ได้ภายใน 7.7 วินาที พร้อมด้วยแบตเตอรี่แบบ Rubik’s Cube ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบใหม่ที่จะลดพื้นที่ของตัวแบตและสามารถระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดที่ 425 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) โดยทาง MG ระบุว่าแบตเตอรี่ในรถ MG 4 EV นั้นจะมีความสูงเพียงแค่ 11 ซม.เท่านั้น ซึ่งถูกติดตั้งไว้ด้านใต้ของตัวรถที่จะมีแชสซีครอบด้านข้างไว้อีกที ช่วยป้องกันความเสียของแบตเตอรี่จากแรงกระแทกที่เกิดจากบริเวณใต้ท้องรถ

เมื่อเข้ามาภายในห้องโดยสาร จะพบกับเบาะนั่งโดยสารสีเทา ตัดด้วยสีขาว-ส้ม ให้ความรู้สึกถึงความสปอร์ตของตัวรถได้เป็นอย่างดี โดยหน้าจอแสดงผลการขับขี่จะมีขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอกลาง Touchscreen ขนาด 10.25 นิ้ว, คอนโซลกลางแบบ Floated Central Control พร้อมพื้นที่วางของแบบ Double Level ช่วยให้สามารถเก็บของได้มากขึ้น และเพิ่มความโล่งสบายในห้องโดยสารต้องหน้า

ตัวเบาะนั่งของผู้ขับขี่ มีความนุ่มสบายและให้ความโอบกระชับที่กำลังดี ไม่อึดอัดจนเกินไป ซึ่งตัวเบาะนั่งนั้นจะทำการวัสดุหนังสังเคราะห์และผ้าผสมกัน (วัสดุผ้าจะถูกใช้บริเวณกลางเบาะ เพื่อการระบายอากาศที่ดี) ซึ่งสามารถปรับแต่งตำแหน่งได้ถึง 6 ทิศทาง และ 4 ทิศทางสำหรับเบาะผู้โดยสารด้านหน้า (ทั้งรุ่น D และรุ่น X)

สำหรับการโดยสารในแถว 2 นั้นจากการที่ได้ทดลองนั่งพบว่า MG 4 ให้พื้นที่เหนือศรีษะมาค่อยข้างเยอะ โดยผู้เขียนสูง 173 ซม. เมื่อนั่งหลังตรงยังคงเหลือพื้นที่เหนือศีรษะอยู่ถึงราวๆ 10 ซม.ด้วยกัน แต่ตัวเบาะดูเหมือนว่าจะ “นิ่ม” กว่าเบาะนั่งด้านหน้าอยู่พอสมควร ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าได้เมื่อเดินทางไกล รวมถึงพื้นที่รองน่องที่แอบ “สั้น” ไปสักเล็กน้อย แต่ถ้าหากเป็นคนตัวเล็กหรือไม่สูงมากนัก คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหากับเบาะที่นั่งแถว 2 ในรถคันนี้

MG 4 EV ขับจริงเป็นอย่างไรบ้าง ?

เราได้รับโอกาศจาก MG ประเทศไทยในการทดลองขับ MG 4 EV ที่สนาม  Pathumthani Speedway และเมื่อเราเริ่มกระแทกคันเร่ง 100% ตัวรถก็พุ่งกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว (ขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ที่เลือก) โดยขุมพลัง 170 แรงม้าของมันสามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยม และสามารถทำเวลา 0-100 ได้ใกล้เคียงที่ทางผู้ผลิตได้เคลมเอาไว้ ตัวพวงมาลัยแบบ Dual Pinion ทำงานได้อย่างเรียบเนียนและไว้ใจได้ ซึ่งทาง MG ได้ปรับเซ็ทอัตราทดของพวงมาลัยไว้แบบ “กลางๆ” ไม่ได้เฉียบคมมากแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นกับเนือยมากนัก ซึ่งเหมาะสมสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปเป็นอย่างมาก ซึ่งตัวพวงมาลัยจะมีน้ำหนักที่ค่อนข้างเบาในโหมดมาตรฐาน (สามารถปรับโหมดความหนัก-เบาของพวงมาลัยได้) ซึ่งคาดว่าทางผู้ผลิตได้ปรับจูนพวงมาลัยสำหรับการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ช่วงล่างของตัวรถมาในสไตล์นุ่มแต่หนึบ สามารถเล่นโค้งด้วยความเร็วสูงได้ประมาณหนึ่ง

แต่สิ่งที่ประทับใจเลยก็คือ “ระบบช่วงเหลือการขับขี่” เนื่องจากสภาพสนามที่ทดสอบมีฝนตกลงมาทำให้พื้น “ลื่น” พอสมควร ซึ่งเราได้ทดลองกดคันเร่งลงไปเมื่ออยู่ในโค้ง ระบบได้เข้ามาตัดกำลังของมอเตอร์อย่างรวดเร็วและช่วยประคองรถให้วิ่งออกจากโค้งได้อย่างง่ายได้ รวมถึงระบบเบรกที่ไว้ใจได้ สามารถหน่วงความเร็วได้อย่างดีเยี่ยม เรียกได้ว่ารถคันนี้เหมาะกับการใช้งานในเมือง หรือจะใช้เดินทางไกล ท่องเที่ยวต่างจังหวัดก็สบายๆ

MG 4 EV มีกำหนดการเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ แต่คาดว่ารุ่นเริ่มต้น (รุ่นย่อย D) จะมีราคาอยู่ที่ราวๆ 850,000 – 899,000 บาท ในขณะที่รุ่นท๊อป (รุ่นย่อย X) น่าจะมีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ต้องมารอดูกันว่าทาง MG จะเปิดราคารถไฟฟ้ารุ่นนี้ที่เท่าไหร่ ?

รับชมข่าวสารอื่นๆของ MG คลิกที่นี่

รับชมคลิปวีดีโอทดสอบรถของเรา คลิกที่นี

บทความที่น่าสนใจ

โจรซิ่ง Lamborghini Urus ย่องขโมย “แคตตาไลติก” ท่อไอเสียจากรถตู้

Nopkung

NETA ยืนยันเริ่มผลิต NETA V ในไทยต้นปี 2024 พร้อมเผยโฉม NETA GT ปลายปีนี้

Peng

ชมนาฬิกาเรือนงามที่มีแรงบันดาลใจมาจาก บล็อกเครื่องยนต์ W16 จาก Bugatti Chiron

idiot

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy