fbpx

การวัดน้ำมันเครื่อง เรื่องง่ายๆ…แต่มักละเลย หรือเข้าใจผิด!

สำหรับการวัดน้ำมันเครื่องดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แค่วัดและเติมให้ได้ระดับ แต่ในความเป็นจริงจะพบได้ว่า หลายคนยังละเลย หรือวัดบ่อยตามที่สมควรจริง แต่กลับทำผิดวิธี น่าแปลกที่หลายคนเข้าใจว่าต้องรอข้ามคืน หรือหลายชั่วโมงแล้วจึงวัด ทั้งที่คู่มือประจำรถมักระบุชัดว่า “ให้วัดหลังดับเครื่องยนต์ที่ทำงานมาแล้วประมาณ 1-5 นาที หรือแค่ดับสักครู่” เท่านั้น

เรื่องง่าย ๆ แต่หลายคนเข้าใจผิด นับเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า หลายเรื่องที่คนเข้าใจเหมือนกันในวงกว้าง…อาจผิด และแสดงแบบเชื่อมโยงว่า…หลายคน (หรืออาจถึงขั้นส่วนใหญ่) ไม่ได้มีการอ่านคู่มือประจำรถ!

การวัดน้ำมันเครื่องนับเป็นเรื่องที่หลายคนคิดว่าง่าย และมักมองข้าม จากอดีตแนะนำว่าควรวัดทุกวัน ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครทำถี่ขนาดนั้น เพราะบางคนวัดแล้วก็ไม่เห็นพร่อง จึงคิดว่าทิ้งช่วงห่างได้ รถก็ไม่พัง จนหลายคนสงสัยว่าจริงๆ แล้วควรวัดด้วยความถี่เท่าไร? กี่วัน-กี่สัปดาห์ต่อครั้ง? อีกเรื่องที่มีความสำคัญก็คือ วิธีวัด หลายคนบอกว่าควรจอดนาน ๆ หรือข้ามคืนแล้วจึงวัด เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงอ่างมากที่สุด หลายคนคิดว่าแปลก เพราะหากต้องรอ 6-10 ชั่วโมงจริง ถ้าอยากวัดเองระหว่างวัน หรือหลังเติม จะทำอย่างไร?

น้ำมันเครื่องมีความสำคัญต่อเครื่องยนต์มาก เพราะไม่เพียงหล่อลื่น-ลดการสึกหรอ แต่ทำหลายอย่างควบคู่กันไปด้วย เช่น ระบายความร้อน, ป้องกันสนิม, ลดการกัดกร่อน ฯลฯ ดังนั้นควรใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพดี ในปริมาณที่เหมาะสมและถูกต้อง จากที่เราจะกล่าวต่อไปนี้จะเน้นเรื่องความถี่ และวิธีวัด 2 ประเด็น จึงขอข้ามเรื่องการเลือกเกรดคุณภาพน้ำมันเครื่อง เพราะเป็นเรื่องยาวและไม่เกี่ยวกันโดยตรง

  • ความถี่…ไม่ต้องทุกวัน แต่อย่าละเลย
    การวัดน้ำมันเครื่องมีความถี่เปลี่ยนไป จากอดีตมักแนะนำให้ทำประจำทุกวันหรือไม่กี่วันครั้ง เปลี่ยนเป็นสัปดาห์ละครั้ง บางคนเป็นเดือนหรือนานกว่านั้น ก็ไม่เห็นเครื่องยนต์มีปัญหา น่าจะเป็นเพราะเมื่อก่อนวัสดุที่ใช้ทำซีลปะเก็นต่าง ๆ อาจด้อยกว่าปัจจุบัน รวมถึงความห่างของชิ้นส่วนภายใน (เคลียร์แรนซ์) จากการผลิตก็มากกว่า เครื่องยนต์ยุคเก่าจึงอาจมีการลดลงของน้ำมันเครื่องเร็ว แตกต่างจากในปัจจุบัน จะสังเกตได้จากเครื่องยนต์ยุคใหม่ถูกกำหนดให้ใช้น้ำมันเครื่องเบอร์ใสขึ้น จากความหนืด SAE ลงท้ายด้วย 40-50 กลายเป็น 30 หรือบางรุ่นในปี 2012 เป็นเบอร์ใสแค่ 20 ก็มี เครื่องยนต์ยุคเก่าเมื่อผ่านการใช้งานมาก ระดับน้ำมันเครื่องอาจลดอย่างรวดเร็ว ทั้งรั่วซึมภายนอก หรือเล็ดลอดสู่กระบอกสูบ แล้วเผาไหม้ออกพร้อมไอเสียเป็นควันขาว อาจเป็นที่มาของการแนะนำให้วัดน้ำมันเครื่องบ่อย ๆ ทุกวันหรือไม่กี่วันครั้ง เพราะเกรงว่าเครื่องยนต์จะพัง เนื่องจากน้ำมันเครื่องขาด ไม่พอต่อการหล่อลื่นและอื่นๆ

  • รักษาระดับ MIN-MAX อาจไม่ต้องเต็มเสมอ
    ปริมาณน้ำมันเครื่องมีผลต่อประสิทธิภาพในหลายหน้าที่ น้อยไปก็ไม่พอ มากไปก็สิ้นเปลืองและส่งผลลบ โดยมีปริมาณเป็นลิตร มาก-น้อยตามขนาดเครื่องยนต์ หรือความจุกระบอกสูบ-ซีซี เพราะเครื่องยนต์ใหญ่ มีอากาศและเชื้อเพลิงในกระบอกสูบ พร้อมเผาผลาญเป็นพลังงานมากกว่าเครื่องยนต์เล็ก จึงย่อมต้องการประสิทธิภาพการหล่อลื่นและอื่น ๆ มากกว่า น้ำมันเครื่องขาดอาจส่งผลให้เครื่องยนต์พัง ส่วนน้ำมันเครื่องเกิน ไม่พัง ถ้าเกินเล็กน้อย ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตรของก้านวัด แม้ไม่ส่งผลเสียกับเครื่องยนต์ แต่ไม่ได้ประโยชน์และเปลืองเงิน เพราะน้ำมันเครื่องในปริมาณขีดบนของก้านวัด ก็เกินพอสำหรับหลายหน้าที่แล้ว ถ้าเกินจากนั้น ระดับน้ำมันเครื่องที่สูงขึ้นในอ่าง อาจถูกเคาน์เตอร์เวทหรือตับเป็ดถ่วงสมดุลข้อเหวี่ยงตีสะบัดกระจายทั่ว ทั้งกินแรงในการตีจนเครื่องยนต์แรงตก และน้ำมันเครื่องอาจกระเซ็นโดนผนังกระบอกสูบมากกว่าปกติ ทำให้แหวนกวาดน้ำมันตัวล่างของลูกสูบทำงานหนัก จนน้ำมันเครื่องเล็ดลอดเข้าสู่กระบอกสูบ เผาไหม้เป็นควันขาว น่ารำคาญและสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
    การใช้งานควรรักษาระดับให้อยู่ช่วงขีดล่าง-บน หรือ Min-Max ของก้านวัดเสมอ ไม่จำเป็นต้องเต็ม แต่การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องควรเติมให้ถึงขีดบน เพื่อไม่ต้องกังวลว่าจะลดต่ำกว่าขีดล่างหรือต้องวัดบ่อย ๆ ในช่วงแรกหลังเปลี่ยน (ระหว่างขีดบน-ล่าง มักต่างประมาณ 1 ลิตร) ส่วนเมื่อใช้งานสักระยะหรือใกล้เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องเติมเพิ่มให้สิ้นเปลือง โดยไม่ต้องกังวลว่าเครื่องยนต์จะพัง เพราะถ้าไม่ต่ำกว่าขีดล่างก็ใช้งานได้ปกติ
    อย่าเข้าใจผิดว่าต้องมีน้ำมันเครื่องสูงถึงขีดบนเสมอ ไม่อย่างนั้นจะมีขีดล่างทำไม? และเมื่อมีทั้งขีดบน-ล่าง แสดงว่าผู้ผลิตเผื่อให้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเติมเผื่อให้เกินขีดสูงสุด นอกจากเป็นรถที่ใช้งานขึ้น-ลงเนินหรือมุมเอียงบ่อย จึงควรเติมให้ถึงขีดบนเสมอ เพราะระดับน้ำมันเครื่องอาจเอียงจนฝักบัวดูดอากาศผสมกันในบางจังหวะ
    ความถี่การวัดระดับน้ำมันเครื่องในปัจจุบัน หากวัดทุกครั้งแล้วพบว่ามีการลดระดับอย่างช้าๆ ตามปกติ (รวม 10,000 กม. ไม่ลดจากขีดบนจนต่ำกว่าขีดล่าง หรือสัปดาห์ละ 1-2 มม.) แนะนำให้วัด 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หากละเลยก็อย่างน้อยเดือนละครั้ง แต่ไม่จำเป็นต้องทำถี่ทุกวันแบบอดีต

  • วิธีวัด แค่ดับเครื่องยนต์สักครู่ ไม่ต้องรอข้ามคืน
    นับเป็นปัญหาใหญ่ในวงกว้าง เพราะหลายคนเข้าใจผิด พร้อมปฏิบัติหรือแนะนำผิด ๆ ต่อเนื่องมานาน ทั้งที่เหมือนวัดง่าย ๆ แค่ดูหรือเติมให้ได้ระดับ ประเด็นสำคัญคือ ความเข้าใจผิดในวงกว้างฝังลึก ว่าต้องวัดน้ำมันเครื่องหลังดับเครื่องยนต์ไว้นานข้ามคืนหรือหลายชั่วโมง เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับอ่างมากที่สุด หากวัดหลังดับเครื่องยนต์ใหม่ ๆ ต้องเผื่อระดับให้เห็นว่าต่ำกว่าปกติเล็กน้อย เพราะน้ำมันเครื่องยังไหลลงไม่หมด
    ไม่ทราบและไม่มีทางสรุปได้ว่า ทำไมหลายคนเข้าใจผิดและเป็นวงกว้างอย่างนั้นมานาน? เดาว่าอาจเพราะหลายคนเข้าใจว่า น้ำมันเครื่องเป็นของเหลวเหนียว ๆ ข้นกว่าน้ำ เมื่อต้องไหลเวียนในเครื่องยนต์ไปทั่ว หลังดับเครื่องยนต์ก็ต้องมีน้ำมันเครื่องเหลือเกาะอยู่ต่างชิ้นส่วนต่าง ๆ มากมาย ยังไม่ไหลกลับลงอ่างด้านล่างจนหมด คิด(ผิด ๆ) ไปเองว่า หากวัดจะคลาดเคลื่อน หรือได้น้อยกว่าความเป็นจริง ทั้งที่ผู้ผลิตเครื่องยนต์ก็ทราบดี และได้เผื่อไว้แล้วว่า ถ้าวัดหลังดับเครื่องยนต์สักครู่ น้ำมันเครื่องควรจะมีระดับในช่วงใด ผู้ใช้หรือผู้วัดไม่ต้องคิดเผื่อแล้ว
    นับเป็นความเข้าใจและวิธีผิด เพราะคู่มือประจำรถเท่าที่เคยอ่าน และค้นหามาประกอบในคอลัมน์ทั้งญี่ปุ่น-ยุโรป เก่า-ใหม่ รถเก๋ง-รถกระบะ ล้วนระบุให้เครื่องยนต์ทำงานจนถึงอุณหภูมิปกติแล้วดับสักครู่ (น่าจะหมายถึง 1-5 นาที) หรือบางรุ่นระบุเป็นเลข 2, 3 และ 5 นาที อย่างชัดเจน ซึ่งที่กล่าวมาผมยังไม่เคยเห็นคู่มือประจำรถรุ่นใดระบุให้วัดหลังจอดข้ามคืน หรือรอนานหลายชั่วโมง

การวัดแบบนี้ (รอประมาณ 1-5 นาที) ตรงกับความสะดวกในชีวิตจริง เพราะเมื่ออยากวัด ทั้งเจ้าของรถหรือช่างก็ทำได้ในเวลาสั้นหลังดับเครื่องยนต์ และไม่ต้องกะระดับเผื่อ ลองคิดง่ายๆ ว่าถ้าหากต้องรอข้ามคืนหรือกว่า 6 ชั่วโมง เมื่อเราอยากวัดทันที ก็ต้องอดใจรอ หรือหลังช่างเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อให้หมุนเวียนเข้าสู่ไส้กรองตัวใหม่จนเต็มแล้วดับ ลูกค้าต้องรอช่างวัดระดับน้ำมันเครื่องอีก 6 ชั่วโมงอย่างนั้นหรือ ?
อาจมีรถบางรุ่นแนะนำแตกต่างออกไป แต่ไม่น่ามีให้รอข้ามคืน เพราะช่างหรือผู้ใช้รถจะวัดลำบาก ดังนั้น ใครใช้รถรุ่นใดก็ควรอ่าน และทำตามคำแนะนำของรถรุ่นนั้น อีกประการหนึ่งควรวัดระดับน้ำมันเครื่องทุก 1 หรืออย่างห่างๆ ก็ 2 สัปดาห์ พร้อมสังเกตความผิดปกติของการพร่อง หาก 10,000 กม. ไม่ลดต่ำกว่าขีดล่างก็ดี แต่ถ้าต่ำกว่าก็ต้องตรวจการรั่วซึม ถ้าไม่รั่วก็อาจพิจารณาเปลี่ยนเบอร์หนืดขึ้น เมื่อใช้งานไปแล้วไม่จำเป็นต้องเติมเต็มขีดบนเสมอ หากไม่ต่ำกว่าขีดล่าง และต้องวัดหลังจากเครื่องยนต์ทำงานปกติ โดยดับทิ้งไว้สักครู่ 1-5 นาที ไม่ต้องรอข้ามคืน ยืนยันตามหลักการที่ถูกต้องในยุคนี้


 

บทความที่น่าสนใจ

5 สัญญาณเตือนสีแดงแจ๊ดบนคอนโซลหน้ารถ ที่คนรักรถต้องทำความเข้าใจ

idiot

รีไฟแนนซ์รถยนต์คืออะไร เราจะได้รับประโยชน์และผลเสียอย่างไร จากการรีไฟแนนซ์

idiot

Mark Court ช่างฝีมือเพียงคนเดียวในโลกที่ Rolls Royce ไว้วางใจให้เขียน Coachline บนตัวรถ

Nopkung

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy