ในช่วงที่ราคาน้ำมันแพง พลังงานทางเลือกอย่าง แก๊ส LPG และ NGV (ก๊าซธรรมชาติ) มักจะถูกพูดถึงในแง่ของความคุ้มค่าในราคาต่อลิตรที่ถูกกว่ามาก แต่การ “ติดแก๊ส” นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งในวันนี้ CarVariety จะนำข้อมูลที่คุณควรรู้ หากจะนำรถยนต์ของคุณไปติดแก๊ส มาฝากทุกท่านครับ
LPG กับ NGV แตกต่างกันอย่างไร ?
ในประเทศไทย จะมีพลังงานทางเลือกหลักๆอยู่ 2 ประเภทคือ แก๊ส LPG และ NGV ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจแก๊สทั้ง 2 ประเภทกันก่อนครับ
LPG – Liquefied petroleum gas คือแก๊สปิโตรเลียมเหลวซึ่งสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในการประกอบอาหารในครัวเรือน หรือในครัวเรือนเรียกกันว่า “แก๊สหุงต้ม” ซึ่งมันสามารถนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและยานพาหนะได้
NGV – Natural Gas for Vehicles คือก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ เรียกอีกชื่อคือ CNG หรือ ก๊าซธรรมชาติอัด (Compressed Natural Gas: CNG) ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ในรถแท๊กซี่ หรือรถที่โรงงานติดก๊าซ CNG มาให้แล้ว เช่น Toyota Altis CNG หรือ Honda City CNG เป็นต้น
โดยในปัจจุบันความนิยมในแก๊ส NGV ลดลงไปมาก เนื่องจากสถานีบริการมีน้อย รวมถึงราคาที่สูงกว่าแก๊ส LPG และระยะทางที่สามารถวิ่งได้ที่น้อยกว่าแก๊ส LPG (แก๊ส NGV เติมเต็มถึงอาจวิ่งได้ราวๆ 200 กม. ในขณะที่ LPG อาจสามารถวิ่งได้ถึง 400-450 กม. ขึ้นอยู่กับขนาดของถัง)
ถังโดนัท – ถังแคปซูล คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร ?
อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตของคนที่จะนำรถไปติดแก๊ส ว่าเราควรเลือกถังแก๊สแบบไหนดีระหว่างถังโดนัทกับถังแคปซูล ?
- ถังแคปซูล จะเป็นถังแก๊สขนาดใหญ่ นิยมติดตั้งบริเวณที่เก็บของในฝากระโปรงท้าย หรือในรถยนต์บางรุ่นอาจใส่ไว้ในตำแหน่งยางอะไหล่ใต้ท้องรถ สามารถจุแก๊สได้เยอะ แต่จะเสียพื้นที่เก็บสัมภาระไปบ้าง โดยถังแบบแคปซูลจะมีราคาที่ต่ำกว่าถังแบบโดนัท
- ถังโดนัท จะเป็นถังแก๊สทรงกลม จะนิยมติดตั้งในช่องยางอะไหล่บริเวณฝากระโปรงท้ายหรือบริเวณใต้ท้องรถ มักจะมีขนาดที่เล็กกว่าถังแบบแคปซูล โดยข้อดีของถังชนิดนี้คือ จะไม่เสียพื้นที่เก็บของและดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ถังแบบโดนัทจะมีราคาที่สูงกว่าถังแบบแคปซูลเช่นกัน
ถังโดนัท – ถังแคปซูล แบบไหนปลอดภัยกว่ากัน ?
หากพูดถึงการเกิดอุบัติเหตุ หลายๆคนมีความสงสัยว่า ถังโดนัท กับ ถังแคปซูล แบบไหนมีความปลอดภัยมากกว่ากัน ซึ่งก็ต้องบอกตรงนี้เลยครับว่า ถังแบบแคปซูล จะมีความปลอดภัยมากกว่าถังแบบโดนัท เนื่องจากตำแหน่งการติดตั้งของ “ถังแคปซูล” นิยมติดตั้งบริเวณด้านในสุดของที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ในขณะที่ “ถังแก๊สแบบโดนัท” จะติดตั้งบริเวณหลุมยางอะไหล่ ซึ่งหากเกิดการชนจากทางด้านท้ายรถ “ถังแก๊สแบบโดนัท” ซึ่งอยู่ใกล้กับกันชนท้ายมากกว่า ก็อาจมีความเสี่ยงในการได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง มากกว่าถังแบบแคปซูลนั่นเอง
ติดแก๊สแล้วเครื่องพัง โทรมไวกว่าปกติ จริงหรือไม่ ?
หลายๆคนบอกว่า การติดแก๊ส LPG จะทำให้เครื่องยนต์พัง โทรม หรือมักจะมีปัญหากวนใจ ซึ่งหากถามว่าจริงหรือไม่ก็ต้องตอบว่า “จริงบางส่วนครับ” เนื่องจากความร้อนในการเผาไหม้ของระบบแก๊สนั้นสูงกว่าน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้การสึกหรอของเครื่องยนต์นั้นเกิดขึ้นได้มากกว่า ซึ่งการเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่มีคุณภาพสูง หรือน้ำมันเครื่องที่ออกแบบมาสำหรับรถที่ติดแก๊สโดยเฉพาะ รวมถึงการติดตั้งและจูนแก๊สที่ได้มาตรฐานโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ ก็จะช่วยให้รถยนต์ของคุณมีความคงทนมากยิ่งขึ้น
อยาก “ติดแก๊ส” ต้องเตรียมเงินไว้เท่าไหร่ ?
ในปัจจุบัน (ปี 2565) ราคาค่าติดตั้งระบบแก๊ส LPG จะอยู่ที่ราวๆ 18,000-40,000 บาท สำหรับรถเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบทั่วไป (ขึ้นอยู่กับคุณภาพของชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เลือกใช้) ซึ่งถ้าหากเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบหัวฉีดตรง (GDI และ T-GDI) รวมถึงรถยนต์ที่่ใช้ 2 หัวฉีดต่อ 1 สูบ และรถยนต์ที่มีลูกสูบมากกว่า 4 ลูกสูบ ก็จะมีราคาค่าติดตั้งที่สูงขึ้นไปอีกนั่นเอง
จุดคุ้มทุนของการ “ติดแก๊ส” อยู่ที่ตรงไหน ?
หลายๆคนบอกว่า ถ้าตัวเองใช้รถน้อย นำรถไปติดแก๊สจะคุ้มหรือไม่ เราขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆดังนี้ครับ
นาย A ใช้รถยนต์เฉลี่ยปีละ 20,000 กิโลเมตร รถยนต์ของนาย A มีอัตรากินน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 12 กิโลเมตรต่อลิตร
หากคำนวนจากราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ซึ่งมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 44.65 บาท รถยนต์ของนาย A จะต้องเสียค่าน้ำมันต่อ 1 กิโลเมตรอยู่ที่ 3.72 บาท ซึ่งหากคำนวนต่อ 1 ปีที่วิ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 กิโลเมตร นาย A จะต้องเสียค่าน้ำมันต่อปีอยู่ที่ 74,400 บาท
หากนาย A นำรถยนต์ไปติดแก๊ส ซึ่งมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 30,000 บาท และใช้งานในลักษณะเดียวกันคือ วิ่งเฉลี่ยปีละ 20,000 กิโลเมตร และมีอัตรากินน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 12 กิโลเมตรต่อลิตร
โดยปกติแล้วแก๊สจะมีอัตราบริโภคเชื้อเพลิงมากกว่าน้ำมันเบนซินทั่วไป (โดยปกติระยะทางที่วิ่งได้ต่อการใช้แก๊ส LPG 1 ลิตร จะอยู่ที่ประมาณ 80-90% ของน้ำมันเชื้อเพลิงปกติ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของอุปกรณ์ที่ติดตั้ง และการปรับจูนของช่าง)
ซึ่งหากคิดอัตราการกินแก๊สกับน้ำมันที่ 80% รถของนาย A จะมีอัตรากินแก๊ส LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 9.6 กิโลเมตรต่อลิตร
หากคำนวนจากราคาแก๊ส LPG วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ซึ่งมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ราวๆ 13 บาทต่อลิตร (ราคาแก๊ส LPG ไม่มีกำหนดตายตัว ขึ้นอยู่กับสถานีบริการนั้นๆ) รถยนต์ของนาย A จะต้องเสียค่าแก๊ส LPG ต่อ 1 กิโลเมตรอยู่ที่ 1.35 บาท ซึ่งหากคำนวนต่อ 1 ปีที่วิ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 กิโลเมตร นาย A จะต้องเสียค่าแก๊ส LPG ต่อปีอยู่ที่ 27,000 บาท
หากเปรียบเทียบระหว่างการใช้น้ำมันและแก๊สจะเห็นได้ว่า ค่าใช้จ่ายในการเติมแก๊ส LPG ลดลงไปเหลือเพียงแค่ 1 ใน 3 ของการใช้น้ำมันเท่านั้น (เติมน้ำมัน 1 ปี = 74,400 บาท / เติมแก๊ส LPG 1 ปี = 27,000 บาท) ซึ่งนาย A จะคืนทุนค่าติดตั้งระบบแก๊ส 30,000 บาทตั้งแต่ปีแรก
ดังนั้นจุดคุ้มทุนของรถยนต์ที่ใช้แก๊สนั้น คุณจะต้องใช้รถยนต์ในปีๆหนึ่งมากพอสมควร (10,000 กิโลเมตรขึ้นไป) รวมถึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องต่างจากแก๊สมากกว่า 50% จึงจะคุ้มค่าในการติดแก๊ส
ติดแก๊สแล้ว ประกันตัวรถจะ “สิ้นสุด” หรือไม่ ?
เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่คนใช้รถหลายคนยังคงเป็นกังวล ว่าถ้าหากนำรถยนต์ไปติดแก๊สแล้ว ทางบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จะสิ้นสุดการรับประกันหรือไม่ ซึ่งคำตอบก็คือใช่ครับ แต่ประกันจะสิ้นสุดเฉพาะในส่วนของเครื่องยนต์และอุปกรณ์ส่วนควบที่เกี่ยวข้องเท่านั้น การรับประกันส่วนอื่นๆของตัวรถจะยังคงอยู่เช่นเดิม ดังนั้นหากใครที่พึ่งถอยรถป้ายแดงมาใหม่ เรายังคงแนะนำให้คุณใช้น้ำมันปกติไปสักระยะหนึ่ง เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องยนต์นั้นมีความผิดปกติอย่างไรบ้าง
ไม่ใช่รถยนต์ทุกคัน ที่สามารถ ติดแก๊ส ได้
รถยนต์บางรุ่นสามารถติดแก๊สได้โดยที่ไม่ต้องดูแลรักษามากนัก โดยเฉพาะรถที่ใช้เครื่องยนต์ระบบวาล์วไฮดรอลิก คุณแทบจะไม่ต้องตั้งวาล์วเลยตลอดอายุการใช้งาน ในขณะที่รถยนต์บางรุ่นที่ยังใช้การตั้งวาล์วแบบมาตรฐาน การติดแก๊สอาจจะทำให้คุณต้องตั้งวาล์วบ่อยมากยิ่งขึ้น รวมถึงการออกแบบเครื่องยนต์ในรถบางรุ่น มีความสามารถในการทนแก๊สที่ต่ำ จึงอาจทำให้เครื่องยนต์ของคุณได้รับความเสียหายได้ ดังนั้นควรศึกษารุ่นรถยนต์ที่คุณใช้ว่าเหมาะสมสำหรับการใช้พลังงานทางเลือกหรือไม่
ควรสลับใช้งาน “น้ำมัน” เป็นระยะ ไม่ใช้แต่แก๊สเพียงอย่างเดียว
หลายๆคนที่ติดตั้งแก๊สมานั้น เลือกที่จะใช้ “แก๊ส” เพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่มีการสลับมาใช้ “น้ำมัน” ซึ่งหากคุณติดตั้งระบบแก๊สที่ได้มาตรฐาน ตัวกล่องควบคุมจะสลับไปใช้น้ำมันตอนสตาร์ทโดยอัตโนมัติ และจะสลับไปใช้แก๊สเมื่อเครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงเพียงพอ หรือรอบเครื่องยนต์สูงจนถึงจุดที่กำหนด ซึ่งหากรถยนต์ของคุณไม่มีระบบนี้ เราขอแนะนำให้สตาร์ทรถด้วยน้ำมัน รวมถึงควรสลับใช้น้ำมันเป็นระยะ เมื่อเดินทางไกลทุกๆ 100-200 กิโลเมตร
สรุปข้อดี-ข้อเสีย ของการ ติดแก๊ส รถยนต์ !!
ข้อดี
- ประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากราคาต่อลิตร ถูกกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงถึง 3 เท่า (เปรียบเทียบราคาวันที่ 1 มิถุนายน 2565)
- แก๊ส LPG ปล่อยมลพิษไอเสียน้อยกว่าน้ำมันเชื้อเพลิง
ข้อเสีย
- รถที่ใช้แก๊ส ต้องได้รับการดูแลรักษาที่มากกว่าปกติ เพราะมีอุปกรณ์ส่วนควบเพิ่มขึ้นมาได้แก่ หม้อต้มแก๊ส รางหัวฉีด ถังแก๊ส เป็นต้น
- รถอาจเกิดความเสียหาย หากได้รับการติดตั้งจากช่างที่ไม่ได้มาตรฐาน
- เครื่องยนต์เสื่อมสภาพไวกว่ารถที่ใช้น้ำมัน
- ราคาขายต่อมือสอง จะต่ำกว่ารถยนต์ที่ไม่ได้ติดแก๊ส
อย่างไรก็ตาม เราอยากให้ท่านที่สนใจใช้พลังงานทางเลือกศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและถี่ถ้วน และตัดสินใจให้ดีก่อนนำรถไปติดตั้ง เพราะมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : car.kapook.com / springnews.co.th / tidlor.com / bangkokbiznews.com / prachachat.net / freepik.com / autocar.co.uk / stargassrl.com