ในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้า บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง ฟอร์ด ก็ต้องปรับตัวตามไปด้วย ผู้บริหารระดับสูงของ ฟอร์ด เผยถึงกลยุทธ์ใหม่ที่จะช่วยให้บริษัทก้าวสู่ความสำเร็จในยุคนี้
จิม ฟาร์ลีย์ ซีอีโอของ ฟอร์ด เปิดเผยว่าบริษัทจะเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กและราคาประหยัดมากขึ้น แทนที่จะเน้นการผลิตรถกระบะขนาดใหญ่ที่ราคาแพง ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัทเคยยึดถือมาในอดีต
ฟาร์ลีย์อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงของตลาดในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า โดยในอดีตรถยนต์ขนาดใหญ่จะสามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่า อันส่งผลให้บริษัทมีกำไรมากกว่า แต่ในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า กลับพบว่าลูกค้าไม่ยอมจ่ายเงินเพิ่มเติมเพื่อแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ติดตั้งในรถยนต์ขนาดใหญ่
ในทางกลับกัน การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กและราคาประหยัดจะช่วยให้ ฟอร์ด สามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มกำไรได้ ซึ่งรวมถึงการได้รับประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ด้านภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาไม่สูงมากนัก
ความท้าทายของ ฟอร์ ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
ฟอร์ด เผยว่าธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทยังขาดกำไร โดยในไตรมาสที่สองของปี 2024 หน่วยธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าของ ฟอร์ดขาดทุน 1,100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทยังต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตและบรรลุระดับเศรษฐีกิจของขนาดการผลิตให้ได้
ฟาร์ลีย์ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ทำให้บริษัทต้องถ่อมตัวลง แต่ก็ได้ทำให้ ฟอร์ด แข็งแกร่งขึ้นเป็นบริษัทที่มีความพร้อมมากขึ้น ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่จะยังคงมีบทบาทในตลาดรถยนต์พาณิชย์และรถที่ใช้ในงานหนัก โดย ฟอร์ด จะต้องร่วมมือกับพันธมิตรหลายรายเพื่อนำรถประเภทนี้มาสู่ตลาด
มุมมองของผู้บริหาร ฟอร์ด ต่ออนาคตของรถยนต์ไฟฟ้า
ฟาร์ลีย์มองว่าการเปลี่ยนแปลงสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ทำให้บริษัทต้องปรับตัวอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสที่จะทำให้บริษัทแข็งแกร่งขึ้น โดย ฟอร์ด จะเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กและราคาประหยัด เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับบริษัท
ในขณะเดียวกัน รถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ก็ยังมีบทบาทสำคัญในตลาด โดย ฟอร์ด จะต้องระมัดระวังในการตัดสินใจเลือกตลาดเป้าหมายอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Cr.insideevs