Shopping cart

ข่าวล่าสุด

ข่าวต่างประเทศ

ทำไมไม่มีใครอยากซื้อ “ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า”? เมื่อพลังแรงไม่ใช่เรื่องพิเศษอีกต่อไป

238

ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้ากำลังเผชิญปัญหาใหญ่และหนึ่งในนั้นคือ Hyundai Ioniq 5 N

เมื่อพลังและความเร็วระดับสูงสามารถหาได้ในรถราคาหลักล้านต้น ๆ จากโชว์รูม Hyundai ทำให้เกิดคำถามว่า: แล้วทำไมต้องจ่ายเงินเจ็ดหลักเพื่อซื้อ “ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า”?

เมื่อความแรงไม่ใช่เรื่องพิเศษอีกต่อไป

ผู้ซื้อระดับไฮเอนด์มักมองหาสิ่งที่ “พิเศษ” และ “แตกต่าง” จากคนทั่วไป แต่การมาของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเปลี่ยนเกม เพราะ “ความแรง” ซึ่งเคยเป็นจุดขายสำคัญของซูเปอร์คาร์ กลับถูก “ทำให้เป็นของธรรมดา” ได้ด้วยเทคโนโลยี EV

ลองนึกภาพว่า Hyundai Ioniq 5 N รถครอบครัวแบบ 5 ประตู สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.4 วินาที ในราคาเริ่มต้นเพียงประมาณ 2.4 ล้านบาท แล้วซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าที่ทำเวลาได้เร็วกว่าเพียง 0.5 วินาที แต่มีราคาสูงกว่าสิบล้าน ยังมีเหตุผลอะไรให้เลือกซื้อ?

ซูเปอร์คาร์น้ำมันยังขายได้ เพราะ “เสียง-กลิ่น-ความรู้สึก”

แม้เครื่องยนต์สันดาปจะมีต้นทุนแพงและประสิทธิภาพด้อยกว่า EV แต่กลับมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ EV ยังไม่สามารถทดแทนได้ เช่น เสียงท่อที่กระหึ่ม กลิ่นน้ำมัน และแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้การขับขี่รู้สึก “มีชีวิต”

ผู้บริหารอย่าง Tony Roma จาก Chevrolet เคยกล่าวว่า “อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ไม่ได้มีความหมายอีกต่อไป” เมื่อพูดถึง Corvette เวอร์ชันไฟฟ้า เพราะผู้ซื้อซูเปอร์คาร์ต้องการความ “มีส่วนร่วม” มากกว่าแค่ตัวเลขความเร็ว

Rimac, Koenigsegg, Pagani เห็นพ้อง: ลูกค้าไม่อยากได้ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า

Mate Rimac ยอมรับว่าบริษัทกำลังประสบปัญหาในการขาย Rimac Nevera ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าระดับไฮเปอร์คาร์ แม้จะมีสมรรถนะสูงสุดก็ตาม ขณะที่ Koenigsegg และ Pagani ก็ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “ลูกค้าไม่ต้องการรถไฟฟ้า”

เพราะ EV ขาดสิ่งที่ทำให้รถมี “คาแรกเตอร์” หรือบุคลิกที่ชัดเจน สิ่งที่เราหลงใหลในรถน้ำมันกลับกลายเป็น “ข้อด้อย” ที่ถูกบรรจุให้ดูมีมนต์ขลัง ทั้งที่จริงแล้วอาจเป็นแค่การตลาดที่ตอบสนองสมองดึกดำบรรพ์ของมนุษย์

อนาคตรถเร็วอาจไม่แพง แต่รถที่วิ่งไกลจะราคาสูงขึ้น

หากแบตเตอรี่ดีขึ้นและโครงสร้างการชาร์จแพร่หลาย ราคาในอนาคตอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแรง แต่ขึ้นอยู่กับ “ระยะทาง” ที่วิ่งได้มากกว่า

ยกตัวอย่าง Ioniq 5 N อีกครั้ง รถคันนี้มีแรงม้า 641 ตัว ในราคาประมาณ 2.4 ล้านบาท ถ้าไม่ต้องการระยะทางวิ่ง 350 กม. แล้วลดขนาดแบตลง รถอาจจะเบาขึ้น เร็วขึ้น และราคาถูกลงอีก

ซูเปอร์คาร์แบรนด์ดังอาจไปไม่รอด หากไม่ปรับตัว

นี่คือความท้าทายที่ผู้ผลิตซูเปอร์คาร์ต้องเผชิญในยุคที่เทคโนโลยี “ทำให้รถทุกคันแรงได้” ไม่ต้องมีเครื่อง V12 ไม่ต้องใช้เทอร์โบคู่ แต่แค่ติดตั้งมอเตอร์และซอฟต์แวร์ดี ๆ ก็แรงทะลุ 600 แรงม้าได้แล้ว

และเมื่อรถสามารถปรับแต่งเสียง สัมผัส หรือฟีลลิ่ง ผ่านซอฟต์แวร์ได้ ผู้คนอาจไม่ต้องจ่ายแพงเพื่อ “ความรู้สึกเฉพาะตัว” อีกต่อไป


สรุป:

ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้ากำลังเสียจุดขายหลักไป เพราะ “ความแรง” กลายเป็นของทั่วไปที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ในราคาที่ถูกลงเรื่อย ๆ และหากไม่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว หรือความรู้สึกที่แตกต่าง ผู้ซื้อระดับบนอาจมองว่า “ไม่คุ้มค่า” ที่จะจ่ายแพงกว่าสิบล้าน เพื่อสิ่งที่รถธรรมดาเริ่มทำได้เช่นกัน

 

 

 

แหล่งที่มา : motor1

Comments are closed

Related Post