ดูคาติไทยแลนด์ เขย่าวงการบิ๊กไบค์ เปิดตัว Multistrada 1260 Enduro (มัลติสตราด้า 1260 เอ็นดูโร่), Hypermotard 950 (ไฮเปอร์โมตาร์ท 950), Panigale 959 Corse (พานิกาเล่ 959 คอร์เซ่) พร้อมสแครมเบลอร์ 4 เวอร์ชั่นใหม่ ทั้ง Scrambler Icon (สแครมเบลอร์ ไอค่อน), Scrambler Café Racer (สแครมเบลอร์ คาเฟ่ เรเซอร์), Scrambler Desert Sled (สแครมเบลอร์ เดซเซิร์ท สเลด), Scrambler Full Throttle (สแครมเบลอร์ ฟูล โทรททัล) ในงาน Motor Expo 2018
สำหรับรถดูคาติรุ่นใหม่ที่นำมาเปิดตัวในงาน Motor Expo 2018 มีดังนี้
1. Multistrada 1260 Enduro
เครื่องยนต์ Testastretta DVT ขนาด 1,262 ซีซี ที่สามารถเรียกแรงบิดได้ง่ายดายตั้งแต่รอบต่ำ โดยรีดแรงม้าสูงสุดได้ที่ 158 แรงม้าที่ 9,500 รอบต่อนาที และสร้างแรงบิดได้ 129.5 นิวตันเมตร ที่ 7,500 รอบต่อนาที แต่สิ่งที่ทำให้เครื่องยนต์ลูกนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์นั้นคือ การที่ได้แรงบิดอย่างโดดเด่นตั้งแต่ 3,500 รอบต่อนาที และดึงหนักต่อเนื่องไปจนถึง 7,000 รอบต่อนาที ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรอบเครื่องยนต์ที่ผู้ขับขี่ใช้ในระยะการเดินทางมากที่สุดนั้นจะอยู่ในช่วงระหว่าง 3,500 – 4,000 รอบต่อนาที ให้คุณเพลิดเพลินกับการขับขี่ไปกับระบบ Ducati Quick Shift (DQS) ทั้งเกียร์ขึ้นและลง
นอกจากนี้ยังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ Bosch IMU 6 แกนเวอร์ชั่นล่าสุดสามารถสื่อสารกับระบบ Ducati Traction control (DTC) 8 ระดับ, Ducati wheelie control (DWC) 8 ระดับ, ABS 3 ระดับได้อย่างรวดเร็วและสมบูรณ์แบบที่สุด รวมถึงสามารถปรับแต่งระบบช่วงล่าง Ducati Skyhook Suspension (DSS)ได้ถึง 400 รูปแบบ ตอบสนองทุกการเดินทางอย่างไร้ขีดจำกัด
โดยราคาจำหน่ายของ Multistrada 1260 Enduro สีแดงอยู่ที่ 1,099,000 บาท และ Multistrada 1260 Enduro สี Sand อยู่ที่ 1,109,000 บาท
2.Hypermotard 950 (ไฮเปอร์โมตาร์ท 950)
เพิ่มความดุดันด้วยไฟหน้าและ DRL ดีไซน์ใหม่ โดดเด่นด้วยเฟรมถักจากเมนเฟรมต่อเนื่องมาจนถึงซับเฟรมใต้เบาะนั่งรับกับท่อไอเสียรูปแบบใหม่แบบคู่แยกออก 2 ด้าน เบาะนั่งถูกออกแบบให้มีความเพรียวกระชับยิ่งขึ้น รวมถึงตัวรถมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 4 กก. ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Testastretta 11 ° ขนาด 937 ซีซี มาพร้อมพละกำลัง 114 แรงม้าที่ 9,000 รอบต่อนาทีและแรงบิด 95.6 นิวตันเมตร ที่ 7,500 รอบต่อนาที ซึ่งถ้าเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้จะสามารถสัมผัสความแตกต่างของแรงบิดได้อย่างชัดเจนถึง 80% ตั้งแต่ที่ 3,000 รอบต่อนาที
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยี 6-axis Bosch IMU ที่ช่วยควบคุม ABS Cornering Bosch EVO ทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้เบรกได้เต็มประสิทธิภาพแม้ขณะอยู่ในโค้ง ไม่ว่าจะเป็นมุม Lean angle 44 องศา ซึ่งเป็นมุมที่รถนั้นจะทำมุมเอียงได้สูงสุด อีกทั้งยังมี Ducati Traction Control (DTC) EVO, Ducati Wheelie Control (DWC) EVO รวมถึงการเปลี่ยนมาใช้คลัชท์ระบบไฮโดรลิกที่สามารถถ่ายทอดทุกกำลังได้อย่างครบถ้วนในระหว่างการเปลี่ยนเกียร์ มาพร้อมหน้าจอสี TFT ขาด 4.3 นิ้ว ซึ่งแจ้งข้อมูลการขับขี่ได้อย่างครบถ้วน สำหรับราคาจำหน่ายอยู่ที่ 529,000 บาท
3.Panigale 959 Corse (พานิกาเล่ 959 คอร์เซ่)
ดีไซน์ใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ของรถแข่ง MotoGP มาพร้อมเครื่องยนต์ Superquadro (ซูเปอร์ควอโด้) ขนาด 955 ซีซี ด้วยระบบสลิปเปอร์คลัชท์ พร้อมที่จะปลดปล่อยความรู้สึกได้อย่างชัดเจนทั้งในสนามแข่งและบนท้องถนน พุ่งทะยานไปกับเฟรมแบบโมโนค็อค และช่วงล่างที่ปรับระดับได้อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงท่อไอเสียน้ำหนักเบาซึ่งผ่านมาตรฐานค่าไอเสียระดับ Euro 4 ผสานกับเทคโนโลยี 3 โหมดการขับขี่ Race Mode, Sport Mode และ Wet Mode เพื่อให้ควบคุมตัวรถได้อย่างง่ายดายในทุกระดับความเร็ว โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 779,900 บาท
4.Scrambler Icon (สแครมเบลอร์ ไอค่อน)
ผสมผสานความดั้งเดิมและนวัตกรรมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นเจเนอร์เรชั่นใหม่ที่มีความทันสมัย พร้อมมอบความมันส์แบบขีดสุดไปกับดินแดนแห่ง Land of Joy เพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมกับสามารถติดตั้งระบบ Ducati Multimedia System เพื่อเชื่อมต่อรถและโทรศัพท์มอบความสะดวกสบายได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอแสดงผลตำแหน่งเกียร์, ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ และได้เปลี่ยนระบบควบคุมคลัชท์จากสายเคเบิ้ลมาเป็นแบบไฮดรอลิก ทำให้การเปลี่ยนเกียร์มีความต่อเนื่องและแม่นยำมากขึ้น โดดเด่นด้วยล้อแมกซ์ลาย 10 ก้านที่เน้นรายละเอียดมากขึ้นด้วยการ Machining
เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่เป็นสีดำเงาตัดกับครีบระบายความร้อนของเสื้อสูบที่ถูกปัดเงาให้เด่นสะดุดตา มั่นใจด้วยระบบ Dual-channel Bosch Cornering ABS ที่จะทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้เบรกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขณะอยู่ในโค้ง โดย Scrambler Icon สีเหลือง ’62 Yellow ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 389,000 บาท และ Scrambler Icon สีส้ม Atomic Tangerine อยู่ที่ 395,000 บาท
5.Scrambler Café Racer (สแครมเบลอร์ คาเฟ่ เรเซอร์)
ดีไซน์สี “Silver Ice Matt” ใหม่ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งในตำนาน 125 GP Desmo สะท้อนตัวตนอย่างชัดเจนด้วยการใส่ล้อซี่ลวด มาพร้อมเบาะสีใหม่รับกับเฟรมสีน้ำเงิน เพิ่มความมั่นใจในทุกๆ โค้งกับ Dual-channel Bosch Cornering ABS ที่จะทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้เบรกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขณะอยู่ในโค้ง รวมถึงระบบ Ducati Multimedia System (ready) เชื่อมต่อรถและโทรศัพท์มอบความสะดวกสบายได้มากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีหน้าจอแสดงผลตำแหน่งเกียร์, ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือและได้เปลี่ยนระบบคลัชท์จากคลัชท์สายมาเป็นคลัชท์น้ำมัน ทำให้การเปลี่ยนเกียร์มีความต่อเนื่องและแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งยังคงเอกลักษณ์ของ Ducati Scrambler Café Racer ด้วยหมายเลข 54 บนตัวรถที่รำลึกถึงหมายเลขรถแข่งของ Bruno Spaggiari (บรูโน่ สแป๊กเจียรี่) นักแข่งดูคาติในตำนานที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 470,000 บาท
6.Scrambler Desert Sled (สแครมเบลอร์ เดซเซิร์ท สเลด)
ดุดันไปกับไฟหน้าพร้อมตะแกรงตามสไตล์เอ็นดูโร่ บังโคลนหน้าทรงสูง ปรับตำแหน่งบังโคลนหลังและ ตัวยึดป้ายทะเบียนให้พร้อมลุยในทุกเส้นทาง โช้คอัพหน้า Kayaba ขนาด 46 มม. ระยะยุบ 200 มม. ปรับตั้งได้ตามต้องการ เบาะนั่งดีไซน์ใหม่ให้ความรู้สึกคล่องตัว อีกทั้งยังมี Ducati Multimedia System (ready) เชื่อมต่อรถและโทรศัพท์มอบความสะดวกสบายได้มากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีหน้าจอแสดงผลตำแหน่งเกียร์, ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือและได้เปลี่ยนระบบคลัชท์จากคลัชท์สายมาเป็นคลัชท์น้ำมัน ทำให้การเปลี่ยนเกียร์มีความต่อเนื่องและแม่นยำมากขึ้น มั่นใจทุกครั้งใช้เบรกด้วยระบบ Cornering ABS ที่จะทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้เบรกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขณะอยู่ในโค้ง โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 480,000 บาท
7.Scrambler Full Throttle (สแครมเบลอร์ ฟูล โทรททัล)
ดีไซน์ถังน้ำมันสีดำ-เหลืองคาดขาว และเพลตใส่หมายเลขด้านข้างสะท้อนเอกลักษณ์ของการแข่งขัน ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนักแต่งรถสไตล์เม็กซิกันและ Super Hooligan championship star คือ Frankie Garcia สำหรับ Scrambler Full Throttle ใหม่จะทำให้คุณรู้สึกถึงตำนานแห่ง Dirty track ดุดันด้วยเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ให้ความรู้สึกกระชับในการขับขี่ ล้อแมกซ์ลาย 10 ก้านที่เน้นรายละเอียดมากขึ้น รวมถึงระบบ Ducati Multimedia System (ready) เชื่อมต่อรถและโทรศัพท์มอบความสะดวกสบายได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอแสดงผลตำแหน่งเกียร์, ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือและได้เปลี่ยนระบบคลัชท์จากคลัชท์สายมาเป็นคลัชท์น้ำมัน ทำให้การเปลี่ยนเกียร์มีความต่อเนื่องและแม่นยำมากขึ้น มั่นใจทุกครั้งใช้เบรกด้วยระบบ Cornering ABS จะทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้เบรกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขณะอยู่ในโค้ง โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 440,000 บาท
คุณอภิชาติ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดูคาทิสติ จำกัด หรือดูคาติไทยแลนด์ กล่าวถึงการนำรถโมเดลใหม่มาเปิดตัวในงาน Motor Expo 2018 ว่า “หนึ่งในนโยบายการตลาดของดูคาติไทยแลนด์คือการนำรถดูึคาติรุ่นใหม่ๆ ที่มีความแตกต่างทางด้านสมรรถนะและคาแรกเตอร์การใช้งานมาเปิดตัวให้ลูกค้าในเมืองไทยได้เลือกและสัมผัสอยู่เสมอ ซึ่งดูคาติไทยแลนด์ได้มีการนำรถรุ่นใหม่ล่าสุดที่ทางบริษัทแม่ที่อิตาลีเพิ่งเปิดตัวในงาน EICMA 2018 จำนวน 7 รุ่นมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งรถรุ่นใหม่ทั้ง 7 รุ่นจะนำมาโชว์ พร้อมทั้งมีแคมเปญพิเศษเฉพาะในงาน Motor Expo 2018 อาทิเช่น เลือกผ่อนดอกเบี้ย 0% สำหรับรุ่น Hypermotard, Multistrada และ Superbike นานสูงสุด 48 เดือน หรือแคมเปญเลือกรับ Ducati Cash Voucher สูงสุด 150,000 บาท พร้อมรับแคมเปญพิเศษดอกเบี้ย 3.49% สำหรับรถดูคาติทุกรุ่นที่จองรถตั้งแต่วันนี้-10 ธ.ค.61 ที่บูธดูคาติ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี”