เคยเป็นไหม เวลาคุณขับรถอย่างสบายใจ มองรอบๆ อย่างมีสติเพื่อสำรวจความปลอดภัยบนท้องถนน แต่ปัญหามหากาพย์!! คุณมักจะโผล่มาเมื่อคุณตัดสินใจเปิดไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลน หรือเร่งแซง นั้นก็คือ…. ปิ้น!!!! เสียงแตรจากเพื่อนร่วมทางที่ลากยาวเหมือนพรมแดง ที่พร้อมอัญเชิญให้คุณลงจากรถยังไงยังงั้น ทั้งๆ ที่คุณได้มองกระจกข้างเพื่อเช็คความปลอดภัยแล้วว่าไม่มีรถผ่านมา แต่พอคุณออกตัวรถ ใครจะไปคิดว่าจังหวะนั้นจะมีรถอีกคันกำลังวิ่งออกมา
ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างกระชั้นชิด เพราะมันเป็นจุดบอดที่คุณจะถูกคนอื่นด่าคุณทั้งที่คุณไม่ได้ทำอะไรผิด บางทีก็ถึงขั้นทะเลาะวิวาทกันเลยทีเดียว อันที่จริงเรื่องนี้อาจจะไม่มีใครผิด แต่เกิดจากการการสร้างรถยนต์ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ที่มาพร้อมข้อจำกัดบางประการ
รถยนต์ทุกคันไม่ว่าจะราคาถูกหรือแพง รถทุกรุ่นทุกยี่ห้อต่างมีจุดอับสายตา มันคือพื้นที่ซึ่งผู้ขับขี่ไม่สามารถสังเกตการณ์ในการขับขี่ได้โดยตรง และเป็นจุดที่คุณมักไม่ค่อยใช้ในการสังเกต จนอาจจะเป็นต้นตอของอุบัติเหตุ จนเราคงไม่อาจจะมองข้ามเรื่องพวกนี้ได้ ดังนั้นเราต้องทำความเข้าใจกับจุดบอดหรือจุดอับสายตาให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
ถึงแม้รถยนต์ปัจจุบันนี้จะพัฒนาไปไกลเพียงใด แต่เรื่องมุมอับสายตายังเป็นปัญหาคลาสสิคที่วิศวกรไม่สามารถแก้ไขได้ แม้ในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในการขับขี่ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยตรง มันทำได้เพียงช่วยให้ผู้ขับขี่รับทราบสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวรถ แต่จะดีกว่าถ้าคุณฝึกให้คุณชินกับจุดบอดเหล่านี้
- จุดบอดจากเสาเอ ก็คือเสาที่ติดตั้งกระจกคู่หน้านั่นเอง ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะเน้นความเป็นสปอร์ตด้วยการปรับเสาเอให้มีความลาดเอียงมากขึ้น รวมถึงมีขนาดใหญ่หรือหนาขึ้นกว่าเดิมเพื่อเสริมความปลอดภัย บางรุ่นมีการติดตั้งม่านถุงลมนิรภัยไว้ด้วย จึงทำให้เกิดจุดบอดที่สายตาเรามองไม่เห็นได้ โดยเฉพาะด้านขวา เมื่อผู้ขับขี่จะเลี้ยวรถ หรือกลับรถ วิธีนี้บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ได้แนะนำให้ผู้ขับขี่นั้นอย่าปรับเบาะนั่งให้สูงเกินไป โดยให้วัดระดับศีรษะของผู้ขับขี่กับหลังคารถจะต้องมีมากกว่า 6 นิ้ว
- จุดบอดจากกระจกมองข้าง อันนี้เจอกันบ่อยแน่นอนเป็นจุดที่อยู่นอกเหนือจากองศาการมองเห็นของกระจกที่เราปรับไว้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นจุดที่ห่างจากตัวรถในจังหวะเกือบจะตีคู่กับรถของเรา วิธีแก้ไขนั้น ให้ปรับท่านั่งของรถในแบบที่ถนัดและถูกต้องตามหลักขับขี่ที่ปลอดภัย หลังจากนั้นให้ปรับกระจกมองข้างให้มองเห็นทั้งตัวรถด้านข้างและพื้นผิวถนน และเส้นแบ่งเลน ไม่ควรจะสูงเกินไป ที่สำคัญผู้ขับขี่จะต้องไม่เคลื่อนศีรษะในแบบก้มลงไปมองใช้เพียงการหันศีรษะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำแบบนี้ทั้งด้านซ้ายและขวา
- จุดบอดกระจกมองหลัง ในจุดนี้บางคนแทบไม่ให้ความสำคัญ เพราะจะถนัดใช้กระจกมองข้างด้านซ้ายเสียเป็นหลัก หรือไม่ก็นำสิ่งของไปวางไว้หลังรถจนกระจกมองหลังมองไม่เห็นอะไรนอกรถได้เลย เอาไว้มองหน้าตัวเอง หรือดูผู้โดยสารด้านหลัง เป็นการสร้างมุมอับให้กับตัวเองไปเอง ควรเลิกกระทำนะคะ กระจกมองหลังนั้นมีประโยชน์อย่างมาก ทั้งในการแซง การเปลี่ยนเลน การถอยรถ โดยกระจกมองหลังต้องมองเห็นกระจกที่อยู่ด้านหลังได้ทั้งบาน เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยของรถที่อยู่ด้านหลัง และต้องปรับด้วยองศาที่มองไม่เห็นศีรษะของเราเช่นกัน สอนเทคนิคการใช้กระจกมองหลังในเวลาแซง ในกรณีแซงแล้วต้องกลับมาที่เลนซ้ายเหมือนเดิมนั้น บางคนใช้กระจกมองข้างไม่ถนัดว่าท้ายเราพ้นจากคันที่แซงแล้วหรือยัง หรือระยะห่างกับคันที่แซงพอดียัง ให้ใช้วิธี เมื่อแซงขึ้นมาแล้วให้มองที่กระจกมองหลังถ้าเห็นหน้ารถคันที่แซงขึ้นมาอยู่ในกระจกมองหลังแล้ว ให้เรากลับเข้าเลนซ้ายได้เลย จะได้ระยะห่างประมาณ 2-3 ช่วงตัวรถเราพอดี จะไม่เป็นการแซงแล้วปาดหน้าอย่างแน่นอน
- จุดบอดจากรถที่ใหญ่กว่า จำไว้เลยว่าอย่าขับรถตามหลังรถที่ใหญ่กว่า ทัศนวิสัยในการมองเห็นข้างหน้าเมื่อต้องขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์ที่ใหญ่กว่าจะเหลือน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางว่าจะมีทางแยก หรือโค้งอยู่ข้างหน้าหรือไม่ รวมถึงรถที่สวนทางมา ถ้าต้องขับรถตามหลังรถยนต์ ให้เว้นระยะให้มากที่สุด ระยะที่เหมาะสมนั้นคือ เราสามารถมองเห็นเลนที่สวนทางมาได้อย่างชัดเจน ถ้ามีโอกาสได้ให้แซงขึ้นไปทันที และอย่าแซงซ้ายเป็นอันขาด จุดบอดของรถใหญ่ด้านซ้ายจะมีมาก ผู้ขับขี่รถใหญ่จะมองไม่เห็นเราเมื่ออยู่ด้านซ้ายรถเขานะคะ
- จุดบอดจากสภาพถนน จุดบอดในแบบนี้เกิดจากสภาพถนนหรือเส้นทางที่เราใช้กัน มีทั้งทางโค้ง ทางขึ้นลงเนิน ในส่วนของทางโค้งนั้นให้ปฏิบัติตามป้ายเตือนที่อยู่ข้างทางอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเส้นทางที่เราไม่ชิน หรือเพิ่งไปเป็นครั้งแรก อย่าแซงในทางโค้ง อย่าวิ่งตัดโค้งเป็นอันขาด ในส่วนของการขับขึ้นเนินนั้น อย่าใช้ความเร็ว เพราะเรายังไม่เห็นปลายทางที่เราจะไปต่อ ถ้าขับในเวลากลางคืนให้ใช้สัญญาณไฟสูงช่วย เพื่อแสดงให้รถที่สวนขึ้นมาอีกด้านให้เห็นเราด้วย
แต่รถยนต์ในปัจจุบันก็มีการติดตั้งระบบเซนเซอร์อัจฉริยะอยู่ เพื่อเป็นการตรวจจับจุดบอดระหว่างการขับขี่ เมื่อมีรถขับมาด้านหลัง หรือแซงขึ้นมาด้านข้างจะมีไฟ LED แจ้งเตือน และหากเป็นจังหวะเดียวกับที่เราจะเลี้ยวออกเปลี่ยนเลน (เปิดไฟเลี้ยว) จะมีเสียงบัซเซอร์เตือนดัง ติ๊ดๆ เพื่อเตือนไม่ให้หักเลี้ยวออกไปชนกับรถที่วิ่งแซงขึ้นมาอีกเลนหนึ่ง แต่หากระบบแจ้งเตือนแล้วคุณไม่กระทำตาม แต่ปล่อยผ่านไม่สนใจการแจ้งเตือน ก็โทษไม่ได้แล้วละว่า รถคันอื่นด่าคุณทำมั้ย