ล่าสุด BYD ได้ออกมาประกาศถึงผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งเติบโตขึ้นมากถึง 411% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน (ไตรมาสที่ 1) ของปี 2022
แต่ทว่าเมื่อย้อนกลับไปดูผลกำไรในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2022 หากเปรียบเทียบกับผลกำไรในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2023 (QoQ) จะพบว่าพวกเขามีผลกำไรที่ลดลงมากถึง 43.5% อีกทั้งไตรมาสนี้ยังเป็นไตรมาสแรกที่ผลกำไรของ BYD ลดลงนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2022 เรามาวิเคราะห์กันว่า ปัจจัยไหนบ้างที่ทำให้ผลกำไรของพวกคงลดลงอย่างน่าใจหาย
สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีน
อย่างที่ทราบกันว่าบริษัทรถยนต์ที่ทำตลาดในประเทศจีน ต่างพร้อมใจกัน “ลดราคา” เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า โดยผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Tesla ได้ทำการปรับลดราคาขายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2022 ทำให้ยักษ์ใหญ่แดนมังกรอย่าง BYD จำเป็นต้องปรับลดราคาขายด้วยเช่นกัน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลกำไรของบริษัทนั่นเอง
ประเทศจีน มีแบรนด์รถยนต์มากที่สุดในโลก ทำให้ประชาชนมีตัวเลือกมากยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่า BYD จะเป็นแบรนด์รถยนต์อันดับ 1 ของประเทศจีน แต่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่มีแบรนด์รถยนต์ภายในประเทศมากที่สุดในโลก ซึ่งมีจำนวนมากถึง 190 แบรนด์ และไม่น่าเชื่อว่าในปี 2022 ที่ผ่านมา มีแบรนด์รถยนต์จีนเปิดตัวใหม่ในประเทศมากถึง 10 แบรนด์ด้วยกัน
ความต้องการรถยนต์ในประเทศจีน อาจลดลงในปี 2023
ในปี 2022 ที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนได้รับควาวนิยมเป็นอย่างมาก โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าปี 2022 ในประเทศจีน มีจำนวนที่เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 1 เท่าตัวเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2021 ซึ่งอาจส่งผลต่อยอดขายในปี 2023 อีกทั้งนักวิเคราะห์หลายคนมองว่าในปี 2023 นี้ ยอดขายรถยนต์ในประเทศจีนอาจทรงตัวหรืออาจเติบโตไม่มากนัก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อผลกำไรของ BYD
BYD ในประเทศไทย ยังคงมีปัญหาเรื่องสต๊อกอะไหล่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า
ประเทศไทย คือเป็นหนึ่งตลาดที่สำคัญของทาง BYD และมุ่งหวังให้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน โดยในประเทศไทยได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า ATTO 3 ไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา และได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามด้วยยอดจองที่มากถึง 10,000 คันภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน แต่ก็มีเสียงบ่นออกมาจากลูกค้าไม่น้อยเกี่ยวกับเรื่องบริการหลังการขาย และโดยเฉพาะเรื่องอะไหล่ ที่ต้องรอเป็นระยะเวลานาน (บางเคสรออะไหล่นานกว่า 4 เดือน) ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าชาวไทยไม่น้อยเลยทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : carnewschina.com / arenaev.com