หลังจากที่ Volkswagen ได้เปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของรถกระบะ Amarok เจเนอเรชั่นที่สองไปเมื่อไม่นานมานี้ ล่าสุดพวกเขาได้ประกาศเปิดตัว Volkswagen Amarok เจนเนอเรชั่นที่ 2 อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีเครื่องยนต์ให้เลือกถึง 6 แบบด้วยกัน
ดีไซน์ภายนอกของ Amarok
Volkswagen Amarok เจนเนอเรชั่นที่ 2 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของรถกระบะ Ford Ranger แต่ทางทีมวิศวกรได้ทำงานอย่างหนักในการออกแบบตัวรถให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและต้องดูไม่เหมือนกับ Ranger มากจนเกินไป พวกเขาจึงได้ดีไซน์ด้านหน้าของตัวรถให้มีความดุดันในแบบฉบับของตัวเอง ด้วยกระจังหน้ารูปทรงคล้ายตัวอักษร X ที่ดูแปลกตา และไฟหน้า IQ Light LED ที่มีรูปทรงเรียวเชื่อมต่อกับส่วนบนของบังโคลน
ด้านท้ายมาพร้อมกับไฟท้ายรูปทรงตัว C ที่ช่วยเสริมสร้างความดุดันของตัวรถได้เป็นอย่างดี เสริมด้วยการประทับชื่อรุ่นลงบนฝาท้าย และโลโก้ VW ขนาดใหญ่บริเวณฝากระโปรงท้าย
แข็งแรงขึ้น บรรทุกได้มากขึ้น ลากจูงได้หนักยิ่งขึ้น
ทางผู้ผลิตได้ออกมาเปิดเผยว่ารถกระบะรุ่นใหม่ของพวกเขาถูกเสริมความแข็งแกร่งสำหรับการบรรทุกและลากจูงให้ทรงพลังมากยิ่งขึ้น โดยรถคันนี้สามารถบรรทุกน้ำหนักสิ่งของได้มากถึง 1.2 ตัน และมันยังสามารถลากจูงสิ่งของที่มีน้ำหนักได้มากถึง 3.5 ตัน
Amarok มาพร้อมกับขุมพลัง 5 เครื่องยนต์ดีเซล และ 1 เครื่องยนต์เบนซิน ไม่มีขุมพลังไฟฟ้า !!
สำหรับ Volkswagen Amarok เจนเนอเรชั่นที่ 2 จะมีขุมพลังให้เลือกมากถึง 6 แบบด้วยกัน (ขึ้นอยู่กับภูมิภาคที่จัดจำหน่าย) ซึ่งแบ่งออกเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 5 แบบและเครื่องยนต์เบนซิน 1 แบบดังต่อไปนี้
เครื่องยนต์ดีเซล
- เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 150 แรงม้า (PS)
- เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 170 แรงม้า (PS)
- เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร พร้อม bi-turbo ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 209 แรงม้า (PS)
- เครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 ลิตร ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 241 แรงม้า (PS)
- เครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 ลิตร ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 250 แรงม้า (PS)
เครื่องยนต์เบนซิน
-
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 2.3 ลิตรเทอร์โบชาร์จ EcoBoost ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 302 แรงม้า (PS)
ภายในสุดล้ำ ด้วยมาตรวัดความเร็วแบบ Full Digital และหน้าจอกลางขนาดใหญ่ 12 นิ้ว
ดีไซน์ภายในของคันนี้ได้รับการยกเครื่องใหม่ทั้งหมด โดยมันจะมาพร้อมกับมาตรวัดความเร็วแบบ Full Digital ที่สามารถบอกค่าต่างๆของตัวรถได้อย่างครบถ้วน เสริมด้วยหน้าจอกลาง Infotainment ขนาด 12 นิ้วสำหรับรุ่นระดับกลางขึ้นไป และแน่นอนว่ามันรองรับระบบ Apple CarPlay และ Android Auto นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มากถึง 20 ระบบ รวมถึงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับได้ (Adaptive Cruise Control) พร้อมระบบจดจำป้ายถนนสำหรับผู้ขับขี่
สำหรับในประเทศไทยคาดว่าทาง VW Thailand น่าจะไม่นำรถรุ่นนี้เข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่อาจจะมีผู้จำหน่ายรถยนต์อิสระ (Gray Market) สั่งรถกระบะรุ่นนี้เข้ามาขายก็เป็นได้
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : carscoops.com