ตอนนี้กระแสรถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาแรง และเป็นที่จับตามองของผู้สนใจที่ต้องการรถยนต์พลังงานทางเลือกอย่างมาก ในขณะที่บริษัทรถยนต์หลายๆ แบรนด์ ต่างทยอยเปิดตัวทำตลาดรถประเภทนี้อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงค่ายรถอย่าง MG ที่ล่าสุดได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า ภายในปีนี้จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ถึง 2 รุ่น นั้นก็คือ MG HS PHEV และ MG E5 Station Wagon
เริ่มจากคันแรกอย่าง MG HS PHEV รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ที่จะเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคมนี้ HS PHEV มีรูปลักษณ์หน้าตาเหมือน MG HS ในรุ่นที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟท้าย และดีไซน์ด้านนอกที่เหมือนกัน ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมแต่อย่างใด
แต่ส่วนที่ได้รับการปรับเปลี่ยน คือ สมถรรนะของเครื่องยนต์ ที่เปลี่ยนจากเครื่องยนต์ ICE ขนาด 1.5 เทอร์โบ มาเป็นเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 เทอร์โบ ปลั๊กอินไฮบริด ที่จับคู่มากับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุดถึง 305 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ EDU 10 สปีด มีแบตเตอรี่แบบลิเธียม ไอออน ขนาดความจุ 9.1 กิโลวัตต์ สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.8 วินาที
ส่วนเรื่องของราคายังไม่มีการเคาะอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1.35 ล้านบาท หรือ 1.39 ล้านบาท (ยังไม่มีการเคาะอย่างเป็นทางการ) HS PHEV ถือว่าเป็นรถปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของไทย ที่มีราคาน่าจับต้องง่ายกว่ารถยุโรป อย่าง BMW 330e M SPORT PLUG IN HYBRID ซึ่งเป็นรุ่นประกอบในไทย ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร Twin Power Turbo + มอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 252 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร พร้อมฟังก์ชั่น Electric Boost ” XtraBoost ” ทำให้พละกำลังสูงสุดเพิ่มเป็น 292 แรงม้า มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic
ส่วนแบตเตอรี่เป็น Lithium-ion ขนาดความจุ 12.0 กิโลวัตต์ จัดวางตำแหน่งไว้ใต้เบาะหลัง โดยการแล่นด้วยโหมด EV ใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 100% สามารถขับเคลื่อนได้ไกล 60 กิโลเมตร และ ความเร็วสูงสุดในโหมด EV ทำได้ 140 กม./ชม. โดยมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2,769,000 บาท
แถมปลายปีนี้ค่ายจากญี่ปุ่นอย่างมิตซูบิชิ เตรียมตัวที่จะเปิดตัวในบ้านเราอย่าง Mitsubishi Outlander PHEV ซึ่งเป็นโฉมเดียวกันกับที่กำลังทำตลาดในประเทศญี่ปุ่น โดยรุ่นที่จะเปิดตัวในบ้านเรานั้นคาดว่าจะมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มีทั้งรูปโฉมและโครงสร้างที่แข็งแกร่ง ใช้เครื่องยนต์เบนซิน DOHC MIVEC ECI-Multi 4 สูบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous Permanent Magnetic Motor จำนวน 2 ตัว ให้พละกำลังสูงสุดที่ 236 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตัน-เมตร ใช้แบตเตอรี่ 12.0 kWh แรงดัน 300 Volts ขับเคลื่อน 4 ล้อ ภายในบรรจุผู้โดยสารได้ 5 ที่นั่ง อัดแน่นด้วยระบบการขับขี่และระบบความปลอดภัย ทั้งระบบนำทาง หน้าจออินโฟเทนเม้นต์ รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ในส่วนของสนนาราคานั้นคาดว่าจะเริ่มต้นที่ราวๆ 1.1 ล้านบาท ซึ่งคงจะต้องรอราคาจริงในงานเปิดตัวอีกทีเช่นกัน
งานนี้ต้องบอกเลยว่าตลาดรถ PHEV ระอุแน่!! แต่สำหรับทางเลือกของผู้สนใจที่อยากใช้พลังงานทางเลือก นับได้ว่า MG HS PHEV นั้นน่าสนใจไม่น้อย หากเทียบกับราคาและพละกำลังกับทางเลือกที่มีในตลาดประเทศไทยตอนนี้
ส่วน MG E5 Station Wagon ที่เป็นรถ EV 100% และจะเปิดตัวในปลายปีนี้เช่นกันในช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอีก 1 รุ่นที่จะเปิดตัวในบ้านเรา และเป็นรถนำเข้าแบบ 100% โดย E5 Station Wagon เป็นรถยนต์ในกลุ่ม C-Segment ไม่ได้เป็นซีดาน โดยจะมาพร้อมความจุแบตเตอรี่ขนาด 52.5 กิโลวัตต์ ให้กำลังถึง 114 แรงม้า ความเร็วสูงสุดจำกัดอยู่ที่ 150 กม./ชม. ชาร์จหนึ่งครั้งสามารถวิ่งได้ไกลถึง 420 กม. โดยมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ราวๆ 1 ล้านบาท
ทั้งนี้ภายในปีหน้า MG จะมีเปิดตัวรถหรูที่เป็น EV 100% ในแบรนด์ Roewe ที่เป็นรถซีดานหรู ในกลุ่ม D-Segment แต่ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาตลาด ซึ่งก็คงต้องรอลุ้นกันว่าจะเป็นรุ่นไหนที่เข้ามาในไทย และยังมีอีกรุ่นอย่างรถกระบะ MG Extender ที่ในอนาคตอาจจะมาในรูปแบบรถกระบะไฟฟ้า แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะเป็นเมื่อไร ทางผู้บริหาร MG เผยว่ามีมาแน่ แต่จะใส่ในรุ่น 4 ประตูเท่านั้น
MG วางแผนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกของเมืองไทย ซึ่งต่อไปสัดส่วนยอดขายของ MG ระหว่าง ICE หรือ เครื่องยนต์สันดาปภายในจะมีสัดส่วนลดลง และจะถูกแทนที่ด้วยรถยนต์พลังงานทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น PHEV และ EV ที่จะเพิ่มขึ้นมา
นอกจากนี้ MG มีแผนที่จะลงทุนพัฒนาสถานีชาร์จควิกชาร์จที่เป็นสถานีชาร์จกระแสตรง จำนวน 30 แห่ง ให้ครอบคลุมบริเวณรอบกรุงเทพฯ ในระยะทางประมาณ 250 กม. อีกด้วย เพื่อตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากออกไปพักผ่อน ท่องเที่ยว แบบไม่ไกลนัก
คงต้องมารอดูกันว่าหากทาง MG เน้นทำตลาดรถยนต์พลังทางเลือกขนาดนี้แล้ว จะสามารถผลักดันให้รัฐบาลหันมาให้ความสนใจและสนับสนุนอย่างจริงจังได้หรือไม่ หรือต้องปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ