2024 Mercedes-Benz GLE และ GLE Coupe รุ่นปรับโฉมใหม่ ถูกเปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการ มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้สามารถใช้งานบนทางออฟโรดได้ดีมากขึ้น ระบบ MBUX ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น และรุ่นย่อยใหม่ GLE 400e 4Matic Plug-in hybrid ที่ให้กำลังสูงสุด 386 แรงม้า
เริ่มจากรุ่นปลั๊กอินไฮบริดใหม่อย่าง GLE 400e 4Matic ถูกติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 386 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 649 นิวตันเมตร
ในสหรัฐอเมริกายังไม่มีการประกาศระยะทางขับขี่ในโหมดไฟฟ้าล้วนจากแบตเตอรี่ 23.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง แต่ Mercedes กล่าวว่ารุ่นปลั๊กอินไฮบริดใหม่จะสามารถวิ่งจาก 0-96 กม.ต่อชม. ได้ภายใน 5.8 วินาที และจะนำเสนอเครื่องชาร์จ DC 60 กิโลวัตต์เสริมเพื่อให้การชาร์จเร็วที่สุด
ขณะที่รุ่นย่อยอื่นๆ มีให้เลือกทั้ง GLE 350 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร ให้กำลัง 259 แรงม้า (PS) รุ่น GLE 450 ติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร ให้กำลัง 380 แรงม้า (PS) และ GLE 580 เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.0 ลิตร ให้กำลัง 517 แรงม้า (PS) โดยทั้งหมดนี้ล้วนแต่เสริมด้วยเทคโนโลยี Mild Hybrid 48V จาก Mercedes
สุดท้ายรุ่น GLE 580 4MATIC มาพร้อมกับ “Off-Road Engineering Package” เพิ่มการป้องกันใต้ท้องรถ เมื่อรวมกับระบบกันสะเทือนแบบถุงลมที่มีอยู่แล้ว จะเพิ่มความสูงจากพื้นอีก 1.2 นิ้ว อีกทั้งยังมีการเพิ่มโหมดออฟโรดในระบบอินโฟเทนเมนต์ ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับมุมการเลี้ยว การไล่ระดับ และทิศทางการบังคับเลี้ยวแก่ผู้ขับขี่ ระบบยังทำงานร่วมกับกล้อง 360 องศา ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นภูมิประเทศโดยรอบได้ดียิ่งขึ้นด้วย
นอกจากนี้ Mercedes ยังเพิ่มระบบ Trailer Route Planner ใหม่ให้กับ GLE ซึ่งจะช่วยกำหนดเส้นทางและหาจุดจอดที่เหมาะสมสำหรับรถพ่วงของคุณ โดยพิจารณาจากข้อมูลเกี่ยวกับน้ำหนัก ความสูง ความกว้าง และอื่นๆ
ด้านระบบ MBUX นั้นฉลาดขึ้นกว่าที่เคยในเจเนอเรชั่นที่ 2 และแม้หน้าจอภายใน GLE จะมีขนาดเท่าเดิม (12.3 นิ้ว) แต่สามารถควบคุมการตั้งค่ารถและความสะดวกสบายได้มากขึ้นผ่านหน้าจอสัมผัส ซึ่งขณะนี้มี Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สายให้บริการแล้ว ในขณะที่ระบบสั่งงานด้วยเสียงของ Mercedes นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย และจะยังคงเป็นเช่นนั้นด้วยการอัปเดตแบบ OTA
นอกจากนี้ภายในยังมาพร้อมพวงมาลัยแบบใหม่ที่มีเซ็นเซอร์แบบสัมผัส ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทั้งหน้าจอสัมผัสตรงกลางและจอแสดงผลมาตรวัดแบบดิจิทัลได้จากพวงมาลัย พร้อมตกแต่งด้วยโครเมียมบนช่องแอร์และการตกแต่งด้วยสีดำ Piano Black Flowing Lines ซึ่งก่อนหน้านี้มีเฉพาะในรุ่น Maybach เท่านั้น
เรามาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของ GLE และ GLE Coupe ใหม่กันบ้าง นักออกแบบได้ปรับปรุงกันชนหน้าใหม่ และกระจังหน้าที่คาดด้วยแถบแนวนอน พร้อมการตกแต่งที่เน้นด้วยวัสดุโครเมียม ในส่วนของไฟหน้ามีขนาดและรูปร่างเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า แต่มีการปรับรายละเอียดภายในโคมใหม่เช่นเดียวกับไฟท้าย ลูกค้ายังสามารถเลือกสี Twilight Blue และ Alpine Grey สำหรับ GLE ใหม่ได้ ซึ่งมาพร้อมกับล้อขนาด 19 และ 20 นิ้วชุดใหม่
ในส่วนของ AMG GLE 53 และ 63 S ได้รับการเปลี่ยนแปลงด้านรูปลักษณ์เหมือนกัน แรงม้ายังคงเท่าเดิมสำหรับทั้งสองรุ่น แต่มีการปรับปรุงเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ใหญ่ขึ้นในรุ่น GLE 53 จนได้แรงบิดเพิ่มขึ้นเป็น 413 ปอนด์-ฟุต (560 นิวตันเมตร)แรงบิดที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลต่ออัตราเร่ง 0-96 กม.ต่อชม. ลดลงเหลือ 4.9 วินาทีอีกด้วย
2024 Mercedes-Benz GLE-Class จะวางจำหน่ายในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่ราคาจะประกาศให้ทราบอีกครั้งใกล้กับวันวางจำหน่าย