fbpx

Mercedes-Benz E 350 แรงจริง ประหยัดได้ด้วยไฟฟ้าเพียว

ในช่วงต้นปีทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้ทำการเปิดตัว Mercedes-Benz E-Class 2017 รุ่นประกอบไทยออกมาด้วยกัน 3 รุ่นย่อย

ทิ้งช่วงมาอีกไม่นานก็ได้ปล่อยตัว Mercedes-Benz E 350 e ตามออกมา ที่มีการปรับเปลี่ยนเป็นขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ พร้อมทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ สามารถชาร์จไฟจากภายนอกได้ ที่เรียกกันว่า ปลั๊กอิน ไฮบริด มาให้เลือกสรรใน 3 ดีไซน์ ได้แก่

The E 350 e Avantgarde – ราคา 3,580,000 บาท
The E 350 e Exclusive – ราคา 3,790,000 บาท
The E 350 e AMG Dynamic – ราคา 4,130,000 บาท

โดยรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น The E 350 e ผ่านการตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมโดยสำนักงาน TV (สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานทางเทคนิคแห่งประเทศเยอรมนี – The German Technical Inspection Authority) และได้รับใบรับรองด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งใบรับรองดังกล่าวให้การรับรองรถยนต์รุ่น The E 350 e ว่าผ่านการประเมินระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดอายุของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ซึ่งในกระบวนการตรวจสอบแบบองค์รวมที่เมอร์เซเดส-เบนซ์นำรถยนต์ไปตรวจสอบ ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้วัดอัตราการใช้พลังงานหรืออัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขณะขับขี่เท่านั้น

แต่ยังวัดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงกระบวนการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ ผลการวิเคราะห์เปิดเผยว่ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น The E 350 e ที่ใช้เครื่องยนต์แบบไฮบริดและได้รับการประจุพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐานของทวีปยุโรปนั้นมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์ (นับตั้งแต่กระบวนการผลิตวัสดุสำหรับประกอบเป็นรถยนต์, กระบวนการประกอบชิ้นส่วนขึ้นเป็นรถยนต์, การขับขี่เป็นระยะทาง 250,000 กิโลเมตรโดยใช้เกณฑ์การคำนวณค่าการปล่อยไอเสียตามมาตรฐานสากล และกระบวนการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์) ต่ำกว่ารถยนต์รุ่น E 350 CGI ที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกันและใช้เครื่องยนต์แบบเชื้อเพลิงฟอสซิลถึงร้อยละ 44 และหากใช้แต่พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพื่อประจุแบตเตอรี่แล้ว ค่าความแตกต่างดังกล่าวจะสูงถึงร้อยละ 63 นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ ยังมีอัตราการใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานหลัก (น้ำมัน) ต่ำกว่ารถยนต์รุ่น E 350 CGI ที่ร้อยละ 31 ถึง 48 ตลอดอายุของผลิตภัณฑ์อีกด้วย

รถยนต์ The E 350 e มาพร้อมกับความประหยัดพลังงานด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยถึง 40 – 47.62 กิโลเมตร/ลิตร พร้อมด้วยการปล่อย CO2 เพียง 49-57 กรัม/กิโลเมตร รวมถึงขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 33 กิโลเมตร ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1,991 ซี.ซี. ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 ต่อนาที และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 440 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย การผสมผสานเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้านี้ช่วยให้รถยนต์รุ่น The E 350 e นับเป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะการขับขี่เทียบเท่ารถสปอร์ตแต่มีอัตราการใช้พลังงานต่ำกว่ารถยนต์คอมแพกต์

และยังเป็น รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นแรกที่หยิบจับ ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) เข้ามาใช้เป็นรุ่นแรกซึ่งทำให้การขับขี่ในระยะทางไกลนั้นนุ่มนวลมากขึ้นในการขับขี่ แถมด้วยความประหยัดเชื้อเพลิงเป็นอย่างมาก ซึ่งในระดับความร็วที่ 120 กม./ชม. นั้นในเกียร์ 9 จะใช้รอบเครื่องยนต์ไปแค่เพียงประมาณ 1,100 รอบ/นาทีเท่านั้นเอง

ดีไซน์ภายนอก The E 350 e ที่มีรูปลักษณ์ดูสง่างามตามแบบฉบับของรถยนต์ตระกูลอี-คลาส โดย The E 350 e Avantgarde มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ LED High Performance สำหรับรุ่น The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED, ระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS Intelligent Light System), ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS Active Light System), ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (cornering light), ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus) โดย The E 350 e AMG Dynamic จะเพิ่มเติมความพิเศษด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว, หลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, กันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้างดีไซน์สปอร์ตแบบ AMG, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน และสัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า ซึ่งในแต่ละรุ่นย่อยก็มาในสไตล์ที่แตกต่างกันเพื่อมีตัวเลือกที่หลากหายให้กับผู้บริโภคมากขึ้น

ซึ่งล่าสุดเทคโนโลยี MULTIBEAM LED ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เลือกใช้กับรถยนต์ในตระกูล The E-Class นั้น ได้รับรางวัล Red Dot Award ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกด้านการออกแบบโดยรางวัลนี้ถือเป็นเครื่องรับรองถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบอย่างประณีตบรรจง มีการใช้นวัตกรรมอันล้ำสมัย ผสานทั้งคุณภาพและสุนทรียะเข้าไว้อย่างลงตัว ซึ่งเทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED ถือเป็นก้าวสำคัญทางวิศวกรรมยานยนต์ โดยโคมไฟหน้าแต่ละโคมจะประกอบด้วยหลอดไฟแอลอีดีประสิทธิภาพสูงจำนวน 84 หลอดที่ทำงานได้อย่างเป็นอิสระ ชุดไฟหน้าจะสามารถส่องพื้นถนนข้างหน้ารถได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีระดับความเข้มของแสงที่สว่างและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม โดยที่ไม่รบกวนสายตาของผู้สัญจรท่านอื่นๆ ซึ่งนอกเหนือจากลำแสงที่เปล่งออกมาอย่างสง่างาม เร้าอารมณ์ และมีความร่วมสมัยแล้ว เทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED ยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณลักษณะของรถยนต์ตระกูลอี-คลาสที่ล้ำสมัยและมีความอัจฉริยะ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเรียงตัวของชุดไฟสำหรับการขับขี่ตอนกลางวันที่มีลักษณะโค้งเป็นวงคล้ายคิ้วของมนุษย์ รวมไปถึงการประกอบชุดโคมไฟโดยใช้วัสดุคุณภาพสูง ซึ่งส่งผลให้รถยนต์ซีดานรุ่นนี้มีภาพลักษณ์ที่สง่าและโดดเด่น

และในส่วนของดีไซน์ภายใน สำหรับห้องโดยสารของ The E-Class นั้นก็คว้ารางวัลจากงาน Automotive Interiors Expo Awards ประจำปี 2016 ในด้าน ห้องโดยสารยอดเยี่ยมสำหรับรถยนต์ที่ผลิตเพื่อการจัดจำหน่ายจริง (the best interior of a standard-production automobile) และนวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี จากผลงานการออกแบบแผงควบคุมระบบสัมผัสบนคอพวงมาลัยในรถยนต์ The E-Class อีกด้วย ซึ่งห้องโดยสารของรถยนต์ The E-Class คือผลลัพธ์ของการตีความแนวคิด Contemporary Luxury ใหม่ ผ่านการออกแบบห้องโดยสารให้ดูกว้างขวางและเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติอัจฉริยะมากมาย นอกเหนือจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังใช้นวัตกรรมที่ก้าวล้ำและอุปกรณ์ตกแต่งคุณภาพสูงเพื่อเติมเต็มประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าอารมณ์ให้กับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับปรัชญา Masterpiece of intelligence ของแบรนด์ โดยรถยนต์ตระกูลอี-คลาส มิได้เป็นเพียงรถยนต์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ซีดานสำหรับผู้บริหารเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือน สถานที่ที่ 3 (third place) นอกเหนือไปจากบ้านและสถานที่ทำงาน ที่ผู้เป็นเจ้าของสามารถใช้เวลาเพลิดเพลินกับความหรูหราและร่วมสมัยได้ตลอดการเดินทาง

โดยสำหรับรถยนต์รุ่น The E 350 e ได้รับการออกแบบให้เบาะที่นั่งตอนหลังสามารถพับลงแบบ 1/3 และ 2/3 เพื่อความสะดวกในการบรรจุสัมภาระ ซึ่งรุ่น The E 350 e Avantgarde และ The E 350 e Exclusive ภายในได้รับการตกแต่งสไตล์หรูหรา มาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง nappa ในขณะที่รุ่น The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง nappa, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง nappa, นอกจากนี้ สำหรับรุ่น The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบ widescreen cockpit อีกทั้งยังเพิ่มความพิเศษสำหรับรถยนต์รุ่น The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display)

ในส่วนของระบบมัลติมีเดียนั้น The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับระบบเสียง รอบทิศทาง Burmester นอกจากนี้ ทั้ง 3 รุ่นยังมาพร้อมกับ ระบบ COMAND Online พร้อม Controller, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad, ระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) เฉพาะภาษาอังกฤษ, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay) และ Android (Android Auto) รวมถึงการติดตั้งระบบแผนที่นำทาง พร้อมเพิ่มสุนทรียภาพในการโดยสารด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สีอีกด้วย

ในส่วนสุดท้ายก็เป็นระบบความปลอดภัย และเทคโนโลยี ของ The E 350 e มาพร้อมกับระบบ Mercedes-Benz Intelligent Drive เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยระบบดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากแนวคิดการปกป้องก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเข้าไว้ด้วยกันภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานสอดประสานกัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist) และระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging for mobile phone) โดย The E 350 e Avantgarde จะมาพร้อมกับกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ ในขณะที่ The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง รวมถึงระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Distance Pilot DISTRONIC) และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist) ที่ติดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรถยนต์รุ่นนี้อีกด้วย

สรุปสุดท้ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ E 350 e เป็นการต่อยอดและพัฒนาเพิ่มเติมมาจาก C-Class และ S-Class ปลั๊กอิน ไฮบริด ที่ถูกปล่อยออกจำหน่ายมาก่อนหน้านี้ ซึ่งในด้านการขับขี่นั้นก็เป็นไปตามสไตล์ของรถ ปลั๊กอิน ไฮบริด ที่มีการผสานการทำงานควบคู่กันไประหว่างระบบเครื่องยนต์ และระบบมอเตอร์ไฟฟ้า แรงได้ ประหยัดได้ในคันเดียว พร้อมโหมดการทำงานให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของการขับขี่ทั้ง

HYBRID การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น

E-MODE สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว) ได้จนถึงความเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 3 3 กิโลเมตร โดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้)

E-SAVE ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น

CHARGE การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลยเพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนือง แรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่ และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่ เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ

รวมถึงภายในที่ดูสวยงาม อัดด้วยเทคโนโลยีเข้ามามากมาย ใช้งานได้สะดวกสบาย และยังมีความเงียบ นุ่มนวลทั้งเป็นผู้ขับ และเป็นผู้โดยสารด้วยระบบช่วงล่างแบบถุงลม (AIRMATIC) และระบบความปลอดภัยต่างๆ สร้างความมั่นใจในการขับขี่เป็นอย่างมาก ซึ่งเจ้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ E 350 e ก็เป็นรถที่น่าใช้หนึ่งคันสำหรับท่านที่มีกำลังพอที่จะหามาใช้กัน มีทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย แรง ตบท้ายมีความประหยัดมาให้ด้วยจากที่ทดลองขับกันมาจะอยู่ประมาณที่ 14.5 กม./ลิตร ยังไงก็ลองไปทดลองขับกันได้ที่ผู้จำหน่าย เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศนะครับ


 

บทความที่น่าสนใจ

มาสด้า CX-3 ไมเนอร์เชนจ์ 2018 เปลี่ยนสไตล์ นุ่มขึ้น-หรูขึ้น

idiot

เชฟโรเลตพาทัวร์!! สนามทดสอบรถยนต์ และสัมผัสเทคโนโลยีการออกแบบรถยนต์ที่ GM Australia

idiot

“The New MU-X Press Trip…หนาวนี้เที่ยวภาคเหนือ” พาสัมผัสหมุดหมายแดนล้านนา เชียงใหม่-เชียงราย

Admin

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More

Privacy & Cookies Policy